อาลีบาบาเริ่มพัฒนาดิจิทัลโทเคนแนวใหม่ ‘ดีพอซิทโทเคน’ ท่ามกลางการกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ที่เข้มงวดขึ้นในจีน
เมื่อวันที่ 24 CNBC รายงานว่า อาลีบาบา (Alibaba) กลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ได้เริ่มต้นพัฒนาโทเคนทางเลือกที่ชื่อว่า ‘ดีพอซิทโทเคน(Deposit Token)’ ท่ามกลางการที่รัฐบาลจีนเข้มงวดกับการกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ในประเทศ โดยโทเคนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยไม่ละเมิดข้อกำหนดด้านกฎหมาย
กั๋ว จาง(Kuo Zhang) ประธานบริหารแผนกอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศของอาลีบาบา เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทกำลังมองหาวิธีการชำระเงินด้วยบล็อกเชนรูปแบบใหม่ที่คล้ายคลึงกับสเตเบิลคอยน์ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ด้านการชำระเงินระหว่างประเทศ ‘ดีพอซิทโทเคน’ นั้นต่างจากสเตเบิลคอยน์ทั่วไปตรงที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการค้ำประกันด้วยเงินฝากในธนาคารเชิงพาณิชย์แบบ 1:1 และจัดอยู่ในหมวด ‘หนี้สินที่อยู่ภายใต้การกำกับ’ ของธนาคารผู้ออกโทเคน
ในขณะที่สเตเบิลคอยน์โดยทั่วไปมีลักษณะการออกโดยเอกชนโดยมีสินทรัพย์ค้ำประกันเพื่อรักษาค่าเงินให้คงที่ โครงสร้างของดีพอซิทโทเคนซึ่งอิงกับเงินฝากจริงในธนาคาร จึงนับว่าเป็นการตอบสนองเชิงกลยุทธ์ของอาลีบาบาเพื่อลดความเสี่ยงด้านการกำกับและสร้างระบบการชำระเงินดิจิทัลที่มั่นคง
กลยุทธ์ดังกล่าวถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในช่วงที่ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง เจพีมอร์แกนเชส(JPM) เพิ่งประกาศเปิดตัวดีพอซิทโทเคนให้แก่ลูกค้าสถาบัน และกำลังผลักดันการใช้งานโทเคนดังกล่าวบนบล็อกเชนภายในองค์กรอย่างจริงจัง ความเคลื่อนไหวของเจพีมอร์แกนจึงถูกมองว่าเป็นการจุดประกายให้บริษัทระดับโลกหันมาสำรวจโซลูชันที่คล้ายคลึงกัน
รายงานนี้ยังเกิดขึ้นในจังหวะที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนหลายแห่ง เช่น แอนต์กรุ๊ป และ JD.com ได้ยุติแผนการออกสเตเบิลคอยน์ในฮ่องกง หลังจากถูกกดดันจากภาครัฐของจีน ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีของรัฐบาลปักกิ่งที่ยังไม่เปิดรับการจัดตั้งระบบสเตเบิลคอยน์โดยเอกชนในประเทศอย่างเต็มที่
‘ดีพอซิทโทเคน’ ของอาลีบาบาจึงมีความน่าสนใจในฐานะโครงสร้างทางเลือกที่อาจหลีกเลี่ยงอุปสรรคจากภาครัฐได้ และในอีกมุมหนึ่งยังสะท้อนถึงความพยายามของบริษัทสัญชาติจีนในการขยายบทบาทของตนสู่ตลาดการชำระเงินระดับโลก ความเคลื่อนไหวนี้อาจสร้างต้นแบบใหม่ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกในอนาคต ความคิดเห็น: อาลีบาบากำลังเล่นเกมที่ซับซ้อนระหว่าง ‘นวัตกรรม’ และ ‘การควบคุม’ จากรัฐได้อย่างแยบยล
ความคิดเห็น 0