บิตคอยน์(BTC) ดำเนินไปในสองจังหวะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน หนึ่งคือการพัฒนาโปรโตคอลหลักที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าแต่รอบคอบ อีกหนึ่งคือเทคโนโลยีรอบข้างที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น เครือข่ายไลท์นิง(Lightning Network) หรือโครงการออร์ดินัล(Ordinals) ที่สามารถนำมาใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกฎพื้นฐานเดิม ถึงแม้ในภาพรวมจะดูเหมือนบิตคอยน์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ‘แกนกลาง’ ของระบบยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการอัปเกรดแท็ปรูต(Taproot) ซึ่งเป็นการอัปเดตโปรโตคอลอย่างระมัดระวังผ่านซอฟต์ฟอร์กโดยได้รับความเห็นชอบจากชุมชน ใช้เวลาหลายปีในการวางแผนและตรวจสอบ จุดแข็งของกระบวนการอยู่ที่ ‘ความรอบคอบ’ และ ‘ฉันทามติ’ ของชุมชน ซึ่งสะท้อนแก่นแท้ของบิตคอยน์อย่างชัดเจน ในทางตรงข้าม การเติบโตของเทคโนโลยีอย่างไลท์นิงและการทดลอง NFT ผ่านออร์ดินัล กลับขยายตัวได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดหลักของระบบ
ความแตกต่างนี้สะท้อนผ่านมุมมองของสื่อเช่นกัน ข่าวที่ได้รับความสนใจสูงมักจะเกี่ยวข้องกับโครงการที่อยู่นอกแกนกลางบิตคอยน์ แต่หากมองในเชิงเทคโนโลยีหลัก บิตคอยน์ยังคงพัฒนาอย่างช้าๆ ด้วยความมั่นคง ดังนั้น การกล่าวว่า ‘บิตคอยน์ไม่เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน’ จึงอาจเป็นการเข้าใจผิดหากไม่ได้พิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นที่ ‘แกนหลัก’ หรือแค่ ‘รอบนอก’
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 (เวลาท้องถิ่น) เดวิด ชวาร์ตซ์(David Schwartz) ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของริปเปิล(Ripple) ได้โพสต์ข้อความบน X (ชื่อเดิมคือทวิตเตอร์) ว่า “บิตคอยน์ไม่เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน” ซึ่งถึงแม้จะเป็นคำพูดในเชิงล้อเลียน เพราะบิตคอยน์เพิ่งถือกำเนิดในปี 2009 แต่ก็แฝงไปด้วยข้อคิดที่น่าสนใจ นั่นคือคำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า *บิตคอยน์เปลี่ยนไปหรือยัง* แต่อยู่ที่ *มันเปลี่ยนไปตรงไหน* มากกว่า
การทำความเข้าใจพัฒนาการของบิตคอยน์จึงต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือการเปลี่ยนแปลงของระบบพื้นฐาน และอะไรคือการทดลองในระดับแอปพลิเคชัน ‘บิตคอยน์เปลี่ยนไป’ เป็นเพียงคำพูดลอยๆ หากไม่วิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนนั้นเกิดขึ้น *ตรงไหน* ถึงจะเข้าใจเนื้อแท้และทิศทางของเครือข่ายนี้อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0