บิตคอยน์(BTC) ปรับตัวลดลงกว่า 2,650 ดอลลาร์ (ประมาณ 389,000 บาท) หลังจากพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนหน้า โดยได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร ประกอบกับปัจจัยลบจากสหรัฐที่ยังคงก่อตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาวะซบเซาในตลาดที่อยู่อาศัย, ความไม่แน่นอนในตลาดหุ้น และการล่าช้าในการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจด้านแรงงาน ส่งผลต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงและกระตุ้นให้ผู้ลงทุนกลับมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
เมื่อวันที่ 10 ที่ผ่านมา บิตคอยน์ยังไม่สามารถทะลุแนวต้านจิตวิทยาที่ระดับ 92,250 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,356,300 บาท) และเกิดการปรับฐานในภายหลัง ขณะเดียวกันดัชนีหุ้นสหรัฐเองก็เคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าสูงเกินไปของกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์(AI) ซึ่งได้ขยายผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตเช่นกัน
นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาการกำหนดนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ที่จะมีการประกาศในวันพุธนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ โดยหลายฝ่ายมองว่าการฟื้นตัวของบิตคอยน์กลับขึ้นไปยังระดับ 100,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,470,500 บาท) ในระยะสั้น ขึ้นอยู่กับระดับ ‘ความกล้าเสี่ยง’ ของนักลงทุน
ความเคลื่อนไหวในตลาดอนุพันธ์ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการป้องกันความเสี่ยงที่โดดเด่นมากขึ้น นักเทรดมืออาชีพจำนวนมากกำลังเข้าซื้อสัญญาในการป้องกันการร่วงลงของราคา ด้วยการยอมจ่าย ‘พรีเมียม’ ที่สูงกว่า เพื่อแลกกับเฮจพอร์ตการลงทุนของตนเอง ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นตัวชี้วัด ‘ความวิตก’ ที่แฝงอยู่ในตลาด
ขณะเดียวกัน รายงานจากจีนระบุว่านักลงทุนบางส่วนเริ่มจำหน่ายสเตเบิลคอยน์ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า ส่งผลให้มีแรงขายกระจายในตลาดคริปโตอย่างเห็นได้ชัด และสะท้อนการเคลื่อนตัวอย่างสอดคล้องของการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในตลาดทั่วโลก
แม้ว่าราคาของบิตคอยน์จะเผชิญกับการ ‘พักฐาน’ ในระยะสั้น จุดที่น่าสนใจคือการเชื่อมโยงกันของตลาดดั้งเดิมกับคริปโตเคอร์เรนซีที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยปฏิกิริยาของนักลงทุนต่อข้อมูลเศรษฐกิจจริงและท่าทีของธนาคารกลางมีความชัดเจนมากขึ้น เป็นสิ่งที่สะท้อนทั้ง ‘ความคาดหวัง’ และ ‘แรงกดดัน’ ต่อสถานะใหม่ของบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือก
ความคิดเห็น 0