SEC–CFTC จับมือวางกรอบซื้อขายคริปโตแบบสปอต ชี้สหรัฐพร้อมเดินหน้านวัตกรรมบล็อกเชน

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) และคณะกรรมการกำกับการซื้อขายล่วงหน้าสินค้า (CFTC) เดินหน้าจัดการ *กฎเกณฑ์คริปโต* แบบร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 (เวลาท้องถิ่น) ทั้งสองหน่วยงานออกแถลงการณ์ร่วม ระบุว่า ได้เริ่มดำเนินการความร่วมมือระหว่างองค์กรอย่างจริงจัง เพื่อส่งเสริม *การซื้อขายคริปโตแบบสปอต (Spot Trading)* ภายในประเทศสหรัฐฯ

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นผลจากข้อเสนอของคณะทำงานตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล (PWG) ภายใต้ทำเนียบขาว โดยมีเป้าหมายเพื่อขยาย *ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ* พร้อมกับวางรากฐานให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางด้าน *นวัตกรรมบล็อกเชน* ต่อไปในระยะยาว ทั้ง SEC และ CFTC ระบุในแถลงการณ์ว่า ตลาดที่อยู่ภายใต้การกำกับ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติ (NSE), ตลาดตามสัญญาที่กำหนด (DCM) และตลาดต่างประเทศ (FBOT) *สามารถจดทะเบียนผลิตภัณฑ์คริปโตแบบมีเลเวอเรจหรือมาร์จิ้นได้*โดยไม่มีข้อห้ามจากกฎระเบียบปัจจุบัน

ทั้งสองหน่วยงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า การซื้อขายคริปโตแบบสปอตในบางเงื่อนไข ไม่ถูกห้ามภายในตลาด NSE, FBOT หรือ DCM และ *ผู้ดำเนินการในตลาดสามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ SEC หรือ CFTC ได้* เพื่อเข้าสู่กระบวนการที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าพร้อมพิจารณาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ต้องการเข้าจดทะเบียน หาก *ปฏิบัติตามเกณฑ์ด้านความโปร่งใสของตลาด ระบบเฝ้าระวัง และการคุ้มครองนักลงทุน*

แม้การประกาศในครั้งนี้จะมิได้เปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในทางนิติเชิง แต่ก็ถูกมองว่า เป็น *สัญญาณเชิงนโยบาย* ที่สำคัญต่อผู้เล่นในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นบริษัทโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มซื้อขาย เช่น คอยน์เบส(Coinbase) และคราเคน(Kraken) ที่สนับสนุนการซื้อขายคริปโตแบบสปอตอยู่แล้ว ขณะที่ *ตลาดดั้งเดิมภายในสหรัฐฯ* เองก็ได้รับแรงหนุนให้สามารถเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ในลักษณะเดียวกันได้ในอนาคต

ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวยังเป็นเพียง *ความเห็นในระดับเจ้าหน้าที่ของ SEC และ CFTC* ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายที่มีผลบังคับใช้จริง ดังนั้น หากผู้ให้บริการต้องการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ก็ยังคงต้องผ่านกระบวนการพิจารณาและอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลต่อไป ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมองว่า นี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของ *การยกระดับคริปโตเข้าสู่ระบบการเงินกระแสหลัก* อย่างชัดเจน แต่ก็ยังต้องจับตาทิศทางนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ในระยะถัดไป ว่าจะเร่งผลักดันกฎหมายอย่างไรให้รองรับนวัตกรรมเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน