คาร์ดาโนจับมือริปเปิลผลักดันกฎหมายคริปโตในสหรัฐ คาดชัดเจนภายในปีนี้

ชาร์ลส์ ฮอสกินสัน ผู้ก่อตั้งคาร์ดาโน(Cardano) ออกมาแสดงความเห็นหลังการประชุมเชิงนโยบายด้านคริปโต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยกล่าวชื่นชมว่าทีมงานจากริปเปิล(XRP) มีบทบาทโดดเด่นอย่างยิ่งในการเจรจาครั้งนี้ พร้อมเผยว่า มีความคืบหน้าอย่างมากในการผลักดันร่างกฎหมายแบบสองพรรคให้เกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งเขามองในแง่บวกว่าอุตสาหกรรมคริปโตกำลังก้าวสู่ความชัดเจนทางกฎหมายมากขึ้น

ตามรายงาน การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับร่างกฎหมายโครงสร้างตลาด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการวางกรอบกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างครอบคลุม โดยมีบุคคลสำคัญจากบริษัทคริปโตรายใหญ่ เช่น ริปเปิล, คอยน์เบส(Coinbase), คราเคน(Kraken), เซอร์เคิล(Circle) และแอนเดรียเซน ฮอโรวิทซ์(Andreessen Horowitz) เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการธนาคารวุฒิสภาสหรัฐโดยตรง

แม้ในอดีต ริปเปิลเคยคัดค้านร่างกฎหมายเบื้องต้นนี้อย่างหนัก เนื่องจากเกรงว่าจะให้อำนาจเกินขอบเขตกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(SEC) และทำให้เกิด ‘ความสับสนในตลาด’ แต่ครั้งนี้ ทีมจากริปเปิลสามารถนำเสนอข้อเสนอและความคิดเห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนได้รับ ‘เสียงตอบรับในเชิงบวก’ จากผู้กำหนดนโยบาย

ในวันเดียวกัน ฝ่ายของบิตคอยน์(BTC) ก็ไม่อยู่นิ่ง ไมเคิล เซย์เลอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครสแตรทิจี(MicroStrategy) ได้พบกับวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน เท็ด ครูซ และ มาร์ชา แบล็กเบิร์น เพื่อนำเสนอข้อเสนอด้าน “ทุนสำรองเชิงกลยุทธ์ของบิตคอยน์(Strategic Bitcoin Reserve)” ซึ่งมุ่งเน้นผลักดันให้รัฐบาลมองเห็นศักยภาพของ BTC ในสาขาอนาคต เช่น พลังงาน ระบบอัตโนมัติ และอวกาศ

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทั้งสองฝ่ายสะท้อนให้เห็นว่า ‘อุตสาหกรรมคริปโต’ ต้องการ *กฎระเบียบที่ชัดเจน* และกำลังพยายามสร้างปฏิสัมพันธ์กับฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน โดยหนึ่งในหัวข้อสำคัญในวงสนทนา คือ จะจัดประเภทสินทรัพย์ดิจิทัลเป็น ‘หลักทรัพย์’ หรือสร้างหมวดใหม่เฉพาะ ซึ่งหากมีข้อสรุปก็จะเป็นการเปิดทางสู่กฎเกณฑ์ที่ชัดเจนกว่าเดิม

ท่ามกลางสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ใกล้เข้ามา ‘คริปโต’ กลายเป็นประเด็นสำคัญในแวดวงการเมือง วอชิงตันกำลังเสียงดังมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่บริษัทคริปโตต่างเร่งเจรจาเพื่อรักษาฐานอิทธิพลของตน บรรยากาศจากการประชุมล่าสุดที่ริปเปิลและคาร์ดาโนมีบทบาทเด่น จึงถือเป็น ‘สัญญาณสำคัญ’ ว่าโฉมหน้าการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอาจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในไม่ช้า