ทอม ลี(Tom Lee) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบิตมายน์ ได้ออกมาเตือนถึง *การแตกของฟองสบู่* ในตลาดเก็บสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 227,600 ล้านบาท โดยเขาชี้ว่าโครงสร้างของตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะล่มสลาย และบริษัทส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับ ‘ภาวะมูลค่ากลับด้าน’ ซึ่งมูลค่าของเหรียญที่ถือไว้มีมากกว่ามูลค่ากิจการในตลาด
คำเตือนของ ลี เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ *ชำระบัญชีครั้งใหญ่ในตลาดอนุพันธ์คริปโต* ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.321 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.8361 ล้านล้านวอน) เขาให้ความเห็นว่า โครงสร้างทางการเงินที่ตั้งอยู่บนสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทเริ่มเข้าสู่ *จุดวิกฤต* และอาจมีความเสียหายเพิ่มเติมที่ยังไม่ปรากฏ
สำหรับบิตมายน์ ปัจจุบันถือครองอีเธอเรียม(ETH) จำนวนกว่า 3.03 ล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 12.14 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.68169 ล้านล้านวอน ซึ่งคิดเป็น 2.5% ของอุปทานอีเธอเรียมทั้งหมด ทำให้กลายเป็นบริษัทที่ถือครอง ETH มากที่สุดในโลก ขณะที่ลำดับรองลงมาคือ ชาร์ปลิงก์ ที่ถือครอง 838,728 ETH, คอยน์เบส(COIN) 136,782 ETH และ ETHZilla จำนวน 102,246 ETH
สิ่งที่ทำให้คำเตือนของ ลี มีความน่าสนใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมุมมองในแง่ลบเท่านั้น แต่เนื่องจากบิตมายน์เองก็เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ใช้ ETH ในการสนับสนุนฐานะการเงินอย่างชัดเจน เขาจึงได้โยนคำถามสำคัญต่อ *โมเดลการเก็บสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท* ว่ายังคงมีความยั่งยืนหรือไม่ โดยเขาใช้ถ้อยคำว่า “เกมได้พังลงแล้ว” ซึ่งสะท้อนถึงวิกฤตเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงแค่การปรับฐานราคาตามวัฏจักรตลาด
รายงานการสำรวจตลาดระบุว่า ปัจจุบันมูลค่ารวมของบิตคอยน์(BTC) และอีเธอเรียม(ETH) ที่ถูกใช้เป็นทุนสำรองของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก อยู่ที่ราว 162.7 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.26503 ล้านล้านวอน การที่คริปโตเคอร์เรนซีได้กลายมาเป็น *สินทรัพย์หลักในบัญชีของบริษัท* ได้แสดงให้เห็นถึงระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังประสบความผันผวน
คำเตือนจาก ทอม ลี ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ย้ำถึงความเปราะบางของกลยุทธ์การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสร้างผลกำไรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนคำถามถึงความสามารถในการดำรงอยู่ของโมเดลนี้ในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตลาดกำลังอยู่ในจุดตัด ทั้งบริษัทและนักลงทุนจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ความคิดเห็น 0