ริปเปิล(XRP) พุ่ง 13% ท่ามกลางตลาดซบเซา นักวิเคราะห์ชี้โอกาสซื้อมาถึงแล้ว

ริปเปิล(XRP) กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในตลาดคริปโต หลังจากราคาพุ่งขึ้นกว่า *4%* ท่ามกลางภาวะตลาดที่ซบเซา แตะระดับประมาณ *2.60 ดอลลาร์ (ราว 3,614 บาท)* ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ โดยแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนอย่าง *แซนติมเมนต์(Santiment)* ได้เผยถึงปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา และชี้แนะแนวทางในการเข้า-ออกลงทุนอย่างเหมาะสม

แซนติมเมนต์มองว่า สาเหตุหลักของการปรับขึ้นครั้งนี้มาจากกระแส *FUD (ความกลัว ความไม่แน่นอน และความสงสัย)* ที่แพร่กระจายในชุมชน โดยเฉพาะกระแสข่าวจากโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการเทขายครั้งใหญ่ของนักลงทุนรายใหญ่ หรือ ‘วาฬ’ ซึ่งนำไปสู่การ *ตื่นกลัวและขายตาม* จากผู้ถือครองรายย่อย อย่างไรก็ตาม แซนติมเมนต์วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ ‘ขายจากความหวาดกลัว’ เช่นนี้อาจเป็น *โอกาสเข้าซื้อที่ดี* ด้วยซ้ำ

ในช่วงก่อนหน้า เมื่อวันที่ 10 และ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่าราคาของริปเปิลร่วงลงอย่างหนักในบางแพลตฟอร์ม โดยลดต่ำกว่าระดับ *1 ดอลลาร์ (ราว 1,390 บาท)* เป็นครั้งคราว นักวิเคราะห์หลายรายรวมถึง *อาลี มาร์ติเนซ(Ali Martinez)* ระบุว่า สาเหตุของการร่วงครั้งนี้มาจากการเทขายของวาฬ ซึ่งขายริปเปิลไปกว่า *70 ล้าน XRP* ภายในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง

แม้จะเผชิญแรงเทขายเช่นนี้ แต่ราคาของริปเปิลยังคงฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แซนติมเมนต์ระบุว่า ราคาพุ่งขึ้นมาแล้วถึง *13%* สะท้อนว่า ความต้องการซื้อในสินทรัพย์นี้ยังมีอยู่จริงแม้ท่ามกลางความผันผวนของตลาด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลางถึงยาว แซนติมเมนต์ให้คำแนะนำไว้ว่า “*หากตลาดคาดว่า ริปเปิลจะหลุดต่ำกว่า 2 ดอลลาร์ (ราว 2,780 บาท) อีกครั้ง นั่นอาจเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ ขณะที่การคาดการณ์ว่าราคาจะพุ่งทะลุ 3 ดอลลาร์ (ราว 4,170 บาท) อาจเป็นสัญญาณในการเริ่มทำกำไร*” โดยเฉพาะเมื่อกระแสความมั่นใจในตลาดเริ่มมากเกินไป ซึ่ง *ยึดหลักแนวคิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่แนะนำให้ซื้อเมื่อตลาดกลัว และขายเมื่อตลาดโลภ*

ถึงแม้แรงขายจากวาฬยังสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดได้ในระยะสั้น แต่ด้วย *ฐานนักลงทุนที่แข็งแกร่ง* ร่วมกับปฏิกิริยาทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อแนวโน้มราคา ทำให้ในช่วงเวลานี้ นักลงทุนของริปเปิลอาจต้องใช้ ‘กลยุทธ์ที่อิงกับจิตวิทยาตลาด’ มากกว่าที่เคย ความสามารถในการอ่านความรู้สึกนักลงทุนกลุ่มใหญ่จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญต่อผลตอบแทนในรอบนี้