เจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน(JPM) ออกมาแถลงด้วยตนเองว่า บริษัทไม่เคยยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับลูกค้าเพียงเพราะเหตุผลด้านการเมืองหรือศาสนา พร้อมยืนยันว่าเขาได้พยายามปรับปรุงแนวทางที่เรียกว่า ‘การตัดสิทธิ์ทางการธนาคาร (Debanking)’ มานานกว่า 10 ปี
ไดมอนให้สัมภาษณ์กับช่อง Fox News ในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 24 ว่า “เจพีมอร์แกนยุติความสัมพันธ์กับลูกค้าหลายกรณีด้วยเหตุผลหลากหลาย แต่การเมืองไม่ใช่เหตุผลหนึ่งในนั้น” คำชี้แจงของเขานี้มีขึ้นท่ามกลางข้อถกเถียงว่า บัญชีธนาคารของบุคคลที่มีแนวคิดทางการเมืองอนุรักษ์นิยมอาจถูกปิดอย่างมีอคติ ซึ่งส่งผลให้เกิดการจับตาสูงขึ้นในแวดวงการเงินสหรัฐฯ
คำพูดของไดมอนมีเบื้องหลังจากเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเดวิน นูเนส ซีอีโอของทรัมป์มีเดียและประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาทำเนียบขาว อ้างว่า เจพีมอร์แกนได้ปิดบัญชีของบริษัทของเขาโดยไม่มีคำอธิบาย อีกทั้งยังอาจเชื่อมโยงกับการสอบสวนของอัยการพิเศษ แจ็ค สมิธ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีมากกว่า 400 รายซึ่งเชื่อมโยงกับแคมเปญของทรัมป์
ในอุตสาหกรรมคริปโต เหตุการณ์คล้ายกันก็เกิดขึ้นเช่นกัน แจ๊ก มัลเลอร์ ซีอีโอของสไตรค์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านการชำระเงินผ่านไลท์นิ่งเน็ตเวิร์กบนบิตคอยน์(BTC) เผยว่า เจพีมอร์แกนได้ปิดบัญชีส่วนตัวของเขาโดยไม่มีคำอธิบาย ทำให้เกิดความกังวลต่อแนวโน้ม ‘การปิดล้อมทางการเงิน’ ต่ออุตสาหกรรมดิจิทัลอีกครั้ง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นรูปแบบใหม่ของ ‘ปฏิบัติการช็อกพอยต์ 2.0’ (Operation Chokepoint 2.0) ที่คล้ายกับมาตรการในอดีตของรัฐบาลโอบามาที่พุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมที่ถือว่ามีความเสี่ยงทางจริยธรรม
ฮิวสตัน มอร์แกน หัวหน้าฝ่ายการตลาดของเชปชิฟต์ แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตแบบไร้คนกลาง ก็เคยเปิดเผยว่า บัญชีของเขาถูกระงับในลักษณะเดียวกันเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนความกังวลต่อพฤติกรรมของธนาคารที่อาจพยายาม ‘ผลักดัน’ อุตสาหกรรมดิจิทัลให้หลุดออกจากระบบการเงินแบบเดิม
แม้เจพีมอร์แกนจะยืนยันว่าไม่เคยใช้จุดยืนทางการเมืองเป็นเหตุผลในการปิดบัญชี แต่ตัวอย่างเหล่านี้จุดประกายคำถามเกี่ยวกับ ‘ความเป็นอิสระและความยุติธรรม’ ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งเริ่มกังวลว่า หากแนวโน้มดังกล่าวกลับมาเกิดขึ้นอีกจริง การเข้าถึงบริการทางการเงินอาจถูกจำกัดอย่างรุนแรง
*ความคิดเห็น*: ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวหรือชั่วคราวอีกต่อไป แต่สะท้อนถึงแนวโน้มระยะยาวที่อาจส่งผลต่อทิศทางของทั้งอุตสาหกรรมคริปโต แรงกดดันจากภาครัฐหรือธนาคารพาณิชย์ผ่านมาตรการลักษณะนี้ เสมือนเป็นเครื่องมือ 'บีบทางอ้อม' ที่มีพลังเทียบเท่ากับกฎระเบียบ
‘การตัดสิทธิ์ทางการธนาคาร’ หรือ ‘Debanking’ คือการที่ธนาคารปฏิเสธให้บริการทางการเงินกับลูกค้าหรือธุรกิจบางกลุ่มโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน มักเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านจริยธรรม ความเสี่ยง หรือการเมือง ส่วน ‘Operation Chokepoint’ คือแนวคิดที่รัฐบาลใช้กดดันอุตสาหกรรมที่ไม่พึงประสงค์ผ่านเส้นทางของธนาคาร ซึ่งกลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้งภายใต้นิยามของ ‘ช็อกพอยต์ 2.0’ และอาจกำหนดเส้นทางอนาคตของวงการสินทรัพย์ดิจิทัลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ความคิดเห็น 0