โครงการคริปโต ‘เวิลด์ลิเบอร์ตี้ไฟแนนเชียล(WLFI)’ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ดำเนินการซื้อโทเคนเซย์(SEI) จำนวน 489,000 เหรียญเมื่อวันที่ 12 โดยใช้เงินทุน USDC ที่โอนมาจากกระเป๋าหลักของโปรเจกต์ผ่านกระเป๋าเทรดที่เกี่ยวข้อง ตามข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ออนเชน อาร์แคม อินเทลลิเจนซ์(Arkham Intelligence)
WLFI ถือครองพอร์ตโฟลิโอคริปโตที่ประกอบด้วย บิตคอยน์(BTC), อีเธอเรียม(ETH), โทรน(TRX), ออนโดไฟแนนซ์(ONDO) และอวาแลนเช(AVAX) โดยการเพิ่มสินทรัพย์อย่างเซย์ในครั้งนี้ ทำให้พอร์ตโฟลิโอมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ กระเป๋าเทรดดังกล่าวเคยถูกใช้ในการสะสมเหรียญทางเลือกหรือ ‘อัลท์คอยน์’ หลายรายการมาก่อน
แพลตฟอร์มวิเคราะห์บล็อกเชน ลุคออนเชน(Lookonchain) เปิดเผยว่า WLFI ได้ใช้เงินราว 346.8 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5,063 ล้านบาท) ในการลงทุนซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลรวม 11 รายการ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถทำกำไรจากการลงทุนใด ๆ ได้ โดยเฉพาะจากอีเธอเรียมที่ขาดทุนมากกว่า 114 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,664 ล้านบาท) ขณะที่มูลค่าความเสียหายรวมของพอร์ตโฟลิโออยู่ที่ระดับประมาณ 145.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,129 ล้านบาท)
ย้อนกลับไปเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ เอริก ทรัมป์ บุตรชายของทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความใน X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) ว่า “ตอนนี้เป็นช่วงที่เหมาะจะซื้ออีเธอเรียมเพิ่ม” พร้อมระบุว่า “เดี๋ยวคุณจะขอบคุณผม” อย่างไรก็ตาม ข้อความดังกล่าวได้ถูกลบในภายหลัง และราคาของอีเธอเรียมก็ตกลงจาก 2,879 ดอลลาร์เหลือเพียง 1,611 ดอลลาร์ในปัจจุบัน ลดลงกว่า 55%
ในช่วงเวลาเดียวกัน โลโก้ของ USD1 ซึ่งเป็นเหรียญสเตเบิลคอยน์ภายในโครงการ WLFI ได้ปรากฏในแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง ไบนานซ์, คอยน์เบส และคอยน์มาร์เก็ตแคป แม้ทาง WLFI ยังไม่ได้แถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเผยโฉมโลโก้ดังกล่าว แต่ในชุมชนคริปโตมีการมองว่านี่คือการเปิดตัวสู่สาธารณะครั้งแรก
ข้อเท็จจริงที่ทรัมป์มีบทบาทอย่างมากกับเหรียญ USD1 นี้ ทำให้หลายฝ่ายในแวดวงการเมืองสหรัฐฯ แสดงความกังวล โดยเมื่อวันที่ 2 เมษายน แม็กซีน วอเทอร์ส สมาชิกสภาจากพรรคเดโมแครต ได้กล่าวในที่ประชุมคณะกรรมาธิการบริการทางการเงินสภาผู้แทนราษฎรว่า ทรัมป์อาจมีแผนใช้ USD1 แทนเงินดอลลาร์ในทุกระบบการชำระเงินของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกองทุนสังคมสงเคราะห์หรือการจ่ายภาษี พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า “ถ้ามีการใช้เหรียญแทนดอลลาร์ มันก็คงเป็นเหรียญของเขาเองอย่างแน่นอน”
ด้าน เฟรนช์ ฮิลล์ สมาชิกพรรครีพับลิกันและประธานคณะกรรมาธิการชุดเดียวกันก็เห็นไปในทางเดียวกัน โดยชี้ว่า “ผมไม่สามารถสนับสนุนกฎหมายใด ๆ ได้ ถ้ายังไม่มีการถกเถียงชัดเจนเกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถือครองบริษัทสเตเบิลคอยน์ด้วยตัวเอง” นับเป็นประเด็นที่อาจส่งผลต่ออนาคตของ WLFI และเส้นทางของคริปโตในเวทีการเมืองสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
*ความคิดเห็น: การมีบทบาทอย่างเข้มข้นของทรัมป์ในโลกคริปโต ทั้งในเชิงธุรกิจและการเมือง กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงกว้าง และอาจเป็นตัวแปรสำคัญในทิศทางของนโยบายคริปโตในสหรัฐฯ ในอนาคต*
ความคิดเห็น 0