เวสต์เวอร์จิเนียเสนอร่างกฎหมาย เปิดทางรัฐลงทุนในบิตคอยน์และโลหะมีค่า

รัฐเวสต์เวอร์จิเนียผลักดันร่างกฎหมายเปิดทางให้ลงทุนในคริปโตและโลหะมีค่า

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริส โรส(Chris Rose) สมาชิกวุฒิสภารัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ได้เสนอร่างกฎหมาย ‘กฎหมายป้องกันเงินเฟ้อปี 2025 (The Inflation Protection Act of 2025)’ ต่อสภานิติบัญญัติของรัฐ ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายให้กระทรวงการคลังของรัฐสามารถถือครองสินทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัลและโลหะมีค่าได้ในสัดส่วนที่กำหนด

ตามร่างกฎหมายนี้ รัฐเวสต์เวอร์จิเนียจะสามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตามเงื่อนไขปัจจุบัน บิตคอยน์(BTC) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงชนิดเดียวที่เข้าเกณฑ์นี้ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของรัฐสามารถถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลและโลหะมีค่าได้สูงสุด 10% ของทรัพย์สินทั้งหมด โดยสามารถจัดเก็บผ่าน ‘On-Chain’ หรือลงทุนผ่านกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

การเคลื่อนไหวของโรสครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่หลายรัฐในสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการจัดสรรบิตคอยน์เป็นทุนสำรอง หากร่างกฎหมายนี้ผ่านการรับรอง เวสต์เวอร์จิเนียจะกลายเป็นหนึ่งในรัฐที่นำบิตคอยน์มาใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการ

ขณะเดียวกัน หลายรัฐของสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าในแนวทางเดียวกัน ยูทาห์ผ่านร่างกฎหมายเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ อนุญาตให้ลงทุนไม่เพียงแค่บิตคอยน์ แต่รวมถึงอัลต์คอยน์และสเตเบิลคอยน์บางส่วน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภาของรัฐ ในวันเดียวกัน รัฐเคนทักกียังได้เสนอกฎหมายที่เปิดทางให้จัดสรรทรัพย์สินของรัฐเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลได้ 10% ส่วนเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ไบรอัน โพสทูมัส(Bryan Posthumus) และ รอน โรบินสัน(Ron Robinson) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐมิชิแกน ได้เสนอร่างกฎหมายที่อาจทำให้มิชิแกนเป็นอีกรัฐที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้

แนวโน้มดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับการที่ประธานาธิบดีทรัมป์จัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลระดับรัฐบาลกลางเมื่อวันที่ 23 มกราคม รายงานของ Bloomberg ระบุว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนอย่าง ‘VanEck’ คาดการณ์ว่าหากรัฐต่างๆ พิจารณานโยบายทุนสำรองบิตคอยน์อย่างจริงจัง อาจส่งผลให้เกิดความต้องการซื้อมากขึ้นถึง 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่แนวคิดการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นทุนสำรองแพร่ขยายออกไป หลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่า การเปลี่ยนแปลงระดับรัฐเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อทิศทางของนโยบายระดับรัฐบาลกลางหรือไม่