วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล(Rand Paul) ได้เรียกร้องให้มีการตรวจสอบปริมาณทองคำที่เก็บไว้ใน ‘ฟอร์ท น็อกซ์’ ซึ่งทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับความโปร่งใสของบิตคอยน์(BTC) และความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ดั้งเดิม
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พอลได้ส่งคำร้องไปยังกรมประสิทธิภาพการบริหาร(DOGE) เพื่อให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ตรวจสอบว่าทองคำปริมาณ 4,600 ตัน (ประมาณ 147.3 ล้านออนซ์) ที่ระบุว่ายังอยู่ในครอบครองนั้น มีอยู่จริงหรือไม่ เนื่องจากมีข้อกังวลว่าทองคำจำนวนดังกล่าวไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นทางการมานานกว่า 50 ปี
การเรียกร้องในครั้งนี้ยิ่งกระตุ้นกระแสการถกเถียงว่า ‘บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่เหนือกว่าทองคำ’ โดยวุฒิสมาชิกซินเทีย ลูมิส(Cynthia Lummis) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของบิตคอยน์ ระบุว่า “บิตคอยน์สามารถแก้ปัญหานี้ได้” พร้อมชี้ว่า เนื่องจากธุรกรรมของบิตคอยน์ถูกบันทึกไว้บนบล็อกเชน ทำให้สามารถตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง
แตกต่างจากทองคำที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือจากกระบวนการตรวจสอบ บิตคอยน์มีระบบที่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง ด้านปิแอร์ โรชาร์ด(Pierre Rochard) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของไรออต แพลตฟอร์มส์(Riot Platforms) กล่าวเสริมว่า “ทองคำต้องพึ่งพาการตรวจสอบภายนอก แต่บิตคอยน์สามารถตรวจสอบได้โดยตรงจากเครือข่าย”
แม้ว่าทองคำจะถูกใช้เป็นเครื่องมือรักษามูลค่ามาอย่างยาวนาน แต่ก็เคยมีปัญหาการปลอมแปลงเกิดขึ้นมาโดยตลอด ตัวอย่างเช่นในปี 2019 ซีอีโอของวัลแคนบี(Valcambi) ซึ่งเป็นผู้สกัดทองคำรายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ เตือนว่าทองคำปลอมถูกผลิตออกมาอย่างแนบเนียนมากขึ้น และยังอาจมีจำนวนมากที่ไม่ถูกตรวจสอบพบ
ในทางกลับกัน บิตคอยน์มีซัพพลายจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ และข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกไว้บนบล็อกเชนทำให้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ นักลงทุนสายบิตคอยน์อย่างแมกซ์ ไกเซอร์(Max Keiser) ย้ำว่า “บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติ ‘แข็งแกร่ง’ ที่สุดที่มนุษย์เคยค้นพบ” พร้อมเสริมว่า “การถือครองบิตคอยน์คือการประกาศอิสรภาพทางการเงินจากการควบคุมของรัฐ”
กระแสการตรวจสอบทองคำที่ฟอร์ท น็อกซ์ยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่บิตคอยน์ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้งในฐานะสินทรัพย์ที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือ
ความคิดเห็น 0