วุฒิสภาสหรัฐฯ เตรียมไต่สวนปม ‘ระงับบัญชีธนาคาร’ อาจกระทบภาคคริปโต

คณะกรรมาธิการการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐฯ จะจัดการไต่สวนเรื่อง ‘การระงับบัญชีธนาคาร (Debanking)’ ในวันที่ 5 (เวลาท้องถิ่น) โดยมีตัวแทนจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญมาร่วมให้การเกี่ยวกับกรณีที่พวกเขาถูกปฏิเสธการให้บริการทางการเงินอย่างไม่เป็นธรรม

ในช่วงที่ผ่านมา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและภาคธุรกิจบางส่วนในวอชิงตันอ้างว่าบริษัทและบุคคลบางกลุ่มถูกเลือกปฏิบัติในการใช้บริการทางการเงินเนื่องจากอุตสาหกรรมหรือจุดยืนทางการเมืองของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ธนาคารต่างๆ ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยให้เหตุผลว่าไม่เคยปฏิเสธบริการด้วยเหตุผลทางอุดมการณ์ แต่กลับมองว่าระเบียบและแนวทางการกำกับดูแลที่ไม่ชัดเจนสร้างความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจ

การไต่สวนในครั้งนี้ถูกมองว่าอาจนำไปสู่การกำหนดมาตรฐานใหม่เกี่ยวกับการเข้าถึงบริการทางการเงิน รวมถึงการตรวจสอบความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทีมงานของวุฒิสมาชิกทิม สก็อตต์ระบุว่า “การไต่สวนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาการระงับบัญชีธนาคาร โดยเราจะรับฟังเสียงของผู้ได้รับผลกระทบเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม”

สิ่งที่น่าสนใจคือ รายชื่อพยานในครั้งนี้มีผู้บริหารจากแองเคอเรจ ดิจิทัล(Anchorage Digital) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าร่วมด้วย ทำให้คาดการณ์กันว่าประเด็นข้อจำกัดด้านการทำธุรกรรมทางการเงินกับบริษัทคริปโตเคอร์เรนซีน่าจะเป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย อีกทั้งจะมีตัวแทนจาก ‘โอลด์ กลอรี แบงก์ (Old Glory Bank)’ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2022 มาเสนอมุมมองเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหานี้

ประเด็นเรื่องการระงับบัญชีธนาคารเริ่มเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางหลังจากเมื่อเดือนมกราคม ทรัมป์ออกมาโจมตีธนาคารรายใหญ่ เช่น แบงก์ออฟอเมริกา(BoA) และ เจพีมอร์แกน เชส(JPM) โดยอ้างว่าธนาคารเหล่านี้ปฏิเสธการให้บริการกับบริษัทและบุคคลที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม อย่างไรก็ตาม ธนาคารเหล่านี้ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยยืนยันว่าไม่ได้ปฏิเสธบริการด้วยเหตุผลทางการเมือง

ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการเงินต่างเห็นพ้องกันว่ามีความจำเป็นต้องออกกฎหมายเพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับเกณฑ์การให้บริการทางการเงิน ฝ่ายธนาคารแสดงความกังวลเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การป้องกันการฟอกเงิน (AML) ที่มีความซับซ้อนและมาตรฐานการกำกับดูแลที่คลุมเครือ ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจเกิดความไม่แน่นอนว่าจะได้รับบริการหรือไม่ ส่งผลให้ความต้องการกำหนดมาตรฐานระดับประเทศเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการทางการเงินทวีความสำคัญมากขึ้น