อัตราการเผาชิบะอินุ(SHIB)แตะศูนย์ สะท้อนโมเดลลดปริมาณเหรียญไร้ประสิทธิภาพ

การเผาเหรียญของชิบะอินุ(SHIB) ได้ลดลงจนแทบเป็นศูนย์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโมเดลลดปริมาณเหรียญเพื่อผลักดันราคานั้นไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ โดยเดิมทีแผนการเผาเหรียญแบบมีส่วนร่วมจากชุมชนได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม แต่โครงสร้างดังกล่าวกลับไม่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง จึงยากต่อการดำเนินการในระยะยาว

กลไกการเผาเหรียญในระบบนิเวศของชิบะอินุ แตกต่างจากระบบของอีเธอเรียม(ETH) ที่ใช้ EIP-1559 ซึ่งมีพื้นฐานจากปริมาณการใช้งานของเครือข่าย สำหรับชิบะอินุแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ ‘การมีส่วนร่วมโดยสมัครใจ’ ของผู้ถือเหรียญ การมีส่วนร่วมในช่วงแรกอาศัยกระแสความนิยมและการสนับสนุนจากชุมชน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจเริ่มลดลง และไม่มีโครงสร้างภายในที่สามารถช่วยกระตุ้นการเผาเหรียญได้อย่างยั่งยืน จึงทำให้ความพยายามต่างๆ เงียบหายไป

แม้จะมีการเผาเหรียญจำนวนมากในอดีต แต่ก็แทบไม่มีผลกระทบต่อปริมาณรวมของเหรียญชิบะอินุ ซึ่งขณะนี้มีมากกว่า 589 ล้านล้านเหรียญ โดยในปี 2021 วีทาลิก บุตริน(Vitalik Buterin) เคยเผาเหรียญ SHIB จำนวน 410 ล้านล้านเหรียญ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดในช่วงสั้นๆ แต่หลังจากนั้น การเผาเหรียญก็มีลักษณะเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการออกแบบเชิงเศรษฐศาสตร์อย่างแท้จริง *ความคิดเห็น: หากไม่เปลี่ยนแปลงโมเดลเศรษฐกิจของเหรียญโดยรวม การเผาจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา*

ในด้านราคา SHIB ยังคงอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง นับตั้งแต่ราคาขึ้นสูงสุดในปี 2021 และดูเหมือนว่าการกลับไปสู่ระดับสูงเดิมในระยะใกล้คงเป็นเรื่องยาก จะเห็นได้ว่า *การฝากความหวังไว้กับการลดปริมาณเหรียญเพื่อกระตุ้นราคาไม่มีผลในทางปฏิบัติอีกต่อไป* ดังนั้นมูลค่าเหรียญจึงขึ้นอยู่กับ ‘อุปสงค์’ ในตลาดโดยตรง ซึ่งเป็นธรรมชาติของสินทรัพย์ที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจรองรับ

แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราการเผาเหรียญในอนาคตยังคงน้อยมาก สัญญาณความเหนื่อยล้าของชุมชนเริ่มชัดเจน ขณะที่ทีมผู้พัฒนาเองก็ยังไม่แสดงเจตนารมณ์ในการสร้างกลไกการเผาที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ หลายเสียงวิจารณ์ว่าการเผาเหรียญที่ผ่านมาให้ผลในเชิงโฆษณา มากกว่าการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้

*คำสำคัญ* ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามคือ ‘อัตราการเผา 0’ ของ SHIB ซึ่งกลายเป็นสัญญาณเตือนถึงจุดสิ้นสุดของความหวังในเชิงดีเฟลชั่น โดยที่ SHIB ยังไม่มีพลังขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างใดๆ หากไม่มีการปรับเปลี่ยนโมเดลโทเคโนมิกส์ในระดับรากฐาน การรอเพียง ‘แรงคาดหวังจากตลาด’ อาจไม่เพียงพอในการพาโปรเจกต์นี้กลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง.