NFT ที่มีระบบล็อกเหรียญพุ่งแรง! ยอดทะยานแตะ 12.4 ล้านดอลลาร์ ดัน BNB แซง ETH เป็นเครือข่ายเบอร์ 1

โทเคนในรูปแบบ NFT ที่มีระบบล็อกเหรียญ(Besting NFT) บนเครือข่ายบีเอ็นบี(BNB) กลายเป็นที่จับตามองของตลาดคริปโต หลังสามารถทำยอดซื้อขายในวันเดียวทะยานขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก แซงหน้าโครงการ NFT ชื่อดังอย่าง คริปโตพังก์(CryptoPunk) และเพนกวินพัฟ(PENGU) ได้อย่างพลิกความคาดหมาย ความแตกต่างที่ชัดเจนจาก NFT พื้นฐานที่เน้นงานศิลปะหรือของสะสม ไปสู่ ‘NFT ที่มีประโยชน์ด้านการเงิน’ ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ที่นักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับการเพิ่มสภาพคล่องให้กับสินทรัพย์ที่เคยไร้การเคลื่อนไหว

อ้างอิงจากข้อมูลของแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล คริปโตสแลม(CryptoSlam) เมื่อวันที่ 28 ยอดธุรกรรมของ NFT ประเภทนี้แตะ 12.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 172 ล้านบาทภายในวันเดียว ส่งผลให้ บีเอ็นบีเชน มียอดซื้อขาย NFT รวมถึง 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 194 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าอีเธอเรียม(ETH) ที่ทำได้ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 97 ล้านบาทถึงเกือบ 2 เท่า กลายเป็นเครือข่ายที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในวันนั้น

ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้คือโครงการจาก ยูเอ็นซีเอ็กซ์ เน็ตเวิร์ก(UNCX Network) ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ถือครองโทเคนแบบล็อกอัพสามารถแปลงสินทรัพย์ของตนเป็น NFT ในรูปแบบ ‘บัตรกำนัล’ และนำไปซื้อขายในตลาดรอง จุดเด่นของโมเดลดังกล่าวคือการนำสินทรัพย์ที่ปกติไม่มีสภาพคล่อง มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินที่สามารถหมุนเวียนได้อย่างคล่องตัว

ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในวงการคริปโตระบุว่า NFT ลักษณะนี้น่าจะเหมาะกับโครงการที่มีโทเคนล็อกอัพในช่วงพรีเซลล์หรือทีมพัฒนา เนื่องจากสามารถมอบทางเลือกแก่ผู้ถือในการปลดล็อกสภาพคล่อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและแผนระยะยาวของโปรเจกต์ ถือเป็นสถานการณ์ ‘วิน-วิน’ ที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้กำลังส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนผ่านของตลาด NFT สู่การใช้งานจริงมากกว่าการสะสม โดยเฉพาะเมื่อความ *‘เป็นประโยชน์’* กลายมาเป็นคำหลัก นักลงทุนและผู้พัฒนาเริ่มให้ความสนใจกับการนำ NFT มาใช้เป็นเครื่องมือบริหารสินทรัพย์แบบใหม่ ซึ่งอาจกลายเป็น ‘ปรากฏการณ์ถัดไป’ ในวงการคริปโตต่อไป โดยเฉพาะในระบบนิเวศของบีเอ็นบีเชนและเครือข่ายอื่นๆ ที่อาจต้องเริ่มปรับกลยุทธ์รับมือแนวโน้มใหม่นี้ในไม่ช้า