บิตคอยน์(BTC) ส่งสัญญาณโกลเด้นครอส หลังสหรัฐฯ-จีนผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า

ตลาดเริ่มแสดงสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อยหลังสหรัฐฯ และจีนส่งสัญญาณผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า ขณะที่บิตคอยน์(BTC) พยายามทดสอบการเกิด ‘โกลเด้น ครอส’ อีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่มักพบบ่อยก่อนช่วงขาขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนบางส่วนก็เริ่มแสดงพฤติกรรม ‘หาเหตุผลมารองรับ’ การปรับฐาน ด้วยการโยนความผิดไปยังนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์

เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100% ส่งผลให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของทั้งสองชาติก็พยายามหลีกเลี่ยงคำพูดที่รุนแรง และยังคงเปิดช่องให้ ‘กลับมาเจรจาใหม่’ โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และกระทรวงพาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์ร่วมว่า ทั้งสองฝ่ายจะ “ดำเนินการพูดคุยอย่างต่อเนื่องเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน”

กระทรวงพาณิชย์จีนระบุเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าจีนยังเปิดช่องให้เจรจาทางการค้าได้ในหลายด้าน รวมถึงในเรื่องข้อจำกัดด้านแร่หายาก ขณะที่ฝั่งของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ผ่าน Truth Social โดยกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลกับจีน สี จิ้นผิงแค่ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก จีนไม่ได้ต้องการภาวะถดถอย และผมก็เช่นกัน อเมริกาอยากช่วยจีน” คำพูดนี้ถูกมองว่าเป็นการ ‘ผ่อนคลายอารมณ์’ ท่ามกลางยุทธศาสตร์การค้ารุกหนักของทรัมป์

ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านี้ ราคาบิตคอยน์เริ่มกระเตื้องขึ้น และแสดงสัญญาณ ‘โกลเด้น ครอส’ ซึ่งมักเป็นตัวชี้ว่าตลาดอาจเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง หากอิงจากอดีต เมื่อบิตคอยน์เข้าสู่ภาวะนี้ ราคามักปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ อย่างไรก็ดี นักเทรดบางส่วนยังคงมองว่า การปรับฐานที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นผลจากปัจจัยทางการเมือง และอาจเป็นเพียงการหาเหตุผลให้กับทิศทางการลงทุนของตน “ความคิดเห็น” จากผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มองภาพรวมของตลาดอย่างรอบด้านมากขึ้น

ในภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างความตึงเครียดทางการค้าและตลาดคริปโต ซึ่งต่างมีความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน นักวิเคราะห์เชื่อว่าสัญญาณจากรัฐบาลทั้งสองประเทศในสัปดาห์นี้ได้มอบทิศทางเชิงบวกให้กับตลาดโลกอย่างมีนัยยะ นักลงทุนเองก็ตอบสนองอย่างไวต่อทั้งสัญญาณทางเทคนิค และเงื่อนไขทางการเมืองหรือเศรษฐกิจระดับมหภาค ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามการเจรจาทางการค้ารวมถึงแนวโน้มของตลาดคริปโตอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป