บิตคอยน์(BTC) พุ่งแตะ 113,500 ดอลลาร์ รับข่าวบวกเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน

บิตคอยน์(BTC) ราคาทะลุระดับสูงสุดประจำสัปดาห์อีกครั้ง หลังจากที่ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยความคืบหน้าใน *การเจรจาการค้ากับจีน* ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นแตะระดับ 113,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.57 ล้านบาท) ท่ามกลางสัญญาณบวกว่า ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเริ่มคลี่คลาย และตลาดกลับมามี *ความต้องการในสินทรัพย์เสี่ยง* อย่างบิตคอยน์อีกครั้ง

*แรงผลักดันหลักของการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้มาจากแถลงการณ์ของเบสเซนต์* ซึ่งระบุว่า ทางการจีนพร้อมที่จะ *ยกเลิกภาษีศุลกากร 100%* โดยสมบูรณ์ เพื่อเร่งความคืบหน้าในการเจรจากับสหรัฐ นโยบายภาษีดังกล่าวเคยเป็นหนึ่งในประเด็นที่ ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ ประกาศว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อตลาดในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ การเจรจากินเวลาเพียง 2 วัน แต่ทางฝั่งจีนได้ส่งสัญญาณ "เปิดรับข้อตกลง" อย่างชัดเจน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ทรัมป์เคยออกมาเตือนว่า *จีนมีท่าทีไม่โปร่งใสต่อประเด็นเศรษฐกิจ* และตั้งใจจะกดดันด้วย *มาตรการภาษี 100%* ซึ่งทำให้ตลาดคริปโตตอบสนองทันควัน โดยราคาบิตคอยน์เคยปรับลดลงแรงแตะ 101,000 ดอลลาร์ (ราว 1.4 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศเริ่มพลิกกลับ เมื่อล่าสุดมีรายงานว่า ผู้นำของทั้งสองประเทศมีแผนประชุมกันในยุโรปภายในสัปดาห์นี้ และตลอดช่วงที่ผ่านมาก็มีการพูดคุยระหว่างคณะเจรจาระดับสูงแล้วหลายรอบ โดย Reuters รายงานเมื่อวันที่ 24 ว่า *ทรัมป์แสดงความมั่นใจว่าจะมีความคืบหน้ามากกว่าที่คาด* หากได้หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ขณะที่หลายฝ่ายมองว่านี่น่าจะเป็น *ขั้นตอนสุดท้ายในกลยุทธ์ภาษี 10 ระดับ* ที่ทรัมป์ใช้อยู่ ซึ่งอาจเปิดทางให้ตลาดการเงินกลับตัวในวงกว้าง

แม้ว่าเป็นวันอาทิตย์ซึ่งตลาดการเงินส่วนมากปิดทำการ แต่ *ตลาดคริปโตกลับคึกคัก* บิตคอยน์ไต่ระดับจาก 112,000 ดอลลาร์ เป็น 113,000 ดอลลาร์ กระทั่งทะลุจุดสูงสุดที่ระดับ 113,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.58 ล้านบาท) โดยยังรักษาทิศทางขาขึ้นได้อย่างชัดเจน ซึ่ง ‘ความคิดเห็น’ ของนักวิเคราะห์มองว่า ความคาดหวังต่อการคลี่คลายด้านการค้า *กระตุ้นให้เกิดการเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง*

กรณีนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า *เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ* ที่ส่งผลต่อมูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซี นักลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจึงยังคงต้องจับตาดู *ผลการประชุมของผู้นำทั้งสองประเทศ* อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อตลาดในระยะสั้น