ผู้เชี่ยวชาญเตือน: สเตเบิลคอยน์ยังห่างไกลจากการเป็นเงินดิจิทัลกระแสหลัก

แม้ว่า ‘สเตเบิลคอยน์’ จะถูกขนานนามว่าเป็น *เกมเชนเจอร์* ของระบบการชำระเงินดิจิทัล แต่จนถึงตอนนี้ กลับยังห่างไกลจากความคาดหวังในช่วงเริ่มต้น แม้จะมีความคืบหน้าในด้านความเร็วและค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม แต่ข้อได้เปรียบสำคัญอย่าง ‘ความเสถียร’ และ ‘การประมวลผลแบบเรียลไทม์’ ยังไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นิราช ศรีวัสตาวา ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี(CTO) ของบริษัท MNEE เขียนบทความล่าสุด ชี้ว่า หากสเตเบิลคอยน์จะกลายเป็นทางเลือกหลักในการชำระเงิน *โครงสร้างของบล็อกเชนจำเป็นต้องมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่* พร้อมระบุว่า คำโฆษณาที่ว่า “ชำระเงินได้ทันที” นั้นอาจเป็น ‘การกล่าวเกินจริง’ โดยเน้นว่า “คุณสมบัติด้านความเร็วและค่าธรรมเนียมของแต่ละเครือข่ายบล็อกเชนแตกต่างกันอย่างมาก”

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อส่ง USDคอยน์(USDC) บนเครือข่ายโซลานา(SOL) การยืนยันธุรกรรมใช้เวลาเพียง 400 มิลลิวินาที ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับเวลาจริงอย่างมาก แต่บนเครือข่ายอาร์บิทรัม(ARB) ใช้เวลาประมาณ 3 นาที และในเบส(Base) อยู่ที่ระหว่าง 3 ถึง 9 นาที ขณะที่ในบางเครือข่าย เช่น ZKซิงค์ เอรา(ZKsync Era) หรือพลูม(Plume) การยืนยันอาจใช้เวลานานกว่า 30 นาที หรือบางครั้งถึงหลายชั่วโมง *ความแปรปรวนเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้ นักลงทุน และนักพัฒนาจำนวนมาก*

อีเธอเรียม(ETH) แม้จะยังเป็นศูนย์กลางของการออกสเตเบิลคอยน์ แต่ก็มีข้อจำกัดจาก *ค่าแก๊สสูงและเวลาในการยืนยันที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3 นาที* หากระบบเกิดความแออัด ค่าธรรมเนียมอาจพุ่งขึ้นถึงหลายดอลลาร์ หรือหลายพันบาทเลยทีเดียว ซึ่งเป็นภาระที่หนักสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบที่สามารถดำเนินการแบบอัตโนมัติหรือธุรกรรมจำนวนมาก

ศรีวัสตาวายังชี้ว่า สิ่งที่นักพัฒนา บริษัทฟินเทค รวมถึงร้านค้าคาดหวังจากสเตเบิลคอยน์มีเพียง 4 ข้อ คือ ‘ความรวดเร็ว’, ‘ค่าธรรมเนียมต่ำ’, ‘การผนวกรวมได้ง่าย’ และ ‘ประสิทธิภาพที่คาดการณ์ได้’ อย่างไรก็ตาม บล็อกเชนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน *ยังไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ครบถ้วน*

หากสเตเบิลคอยน์ต้องการให้เกิดการใช้งานในวงกว้างอย่างแท้จริงในฐานะ ‘เงินดิจิทัล’ บล็อกเชนต้องก้าวข้ามจากการเป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐานมาเป็นระบบที่ให้ *ความเสถียร*, *ความรวดเร็ว*, และ *คาดการณ์ได้อย่างสม่ำเสมอ* หากไม่สามารถรวมทั้งสามด้านนี้ไว้ได้ ก็อาจต้องยอมรับว่าการปฏิวัติระบบชำระเงินที่หวังไว้จะยังคงเป็นเพียงความฝันเท่านั้น