กฎหมายสเตเบิลคอยน์ในเกาหลีใต้สะดุด เหตุขัดแย้งบทบาทธนาคารเอกชน

กระบวนการจัดทำกฎระเบียบด้าน ‘สเตเบิลคอยน์’ ในเกาหลีใต้ดูจะล่าช้าออกไปอีก หลังรัฐบาลยังไม่ได้เสนอร่างกฎหมายตามที่คาดไว้ ส่งผลให้พรรคฝ่ายรัฐบาลส่งสัญญาณ ‘สุดท้าย’ ถึงหน่วยงานกำกับดูแลการเงินให้เร่งดำเนินการโดยเร็ว สาเหตุหลักที่ทำให้การพูดคุยยืดเยื้อนั้นมาจากข้อถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของภาคธนาคารเอกชนในการเป็นผู้ออกสเตเบิลคอยน์ที่อิงกับเงินวอน

เมื่อวันที่ 4 (เวลาท้องถิ่น) สื่อท้องถิ่น Maeil Business รายงานว่า พรรคประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ได้แจ้งต่อคณะกรรมการบริการทางการเงิน (FSC) ให้ส่งร่างข้อเสนอเกี่ยวกับการกำกับดูแล ‘สเตเบิลคอยน์ที่อิงกับเงินวอน’ ภายในวันที่ 10 ของเดือนนี้ ข้อเรียกร้องนี้สะท้อนถึงความไม่พอใจที่ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่สามารถก้าวหน้าได้ตามแผนเดิม โดย คัง จุนฮยอน สมาชิกพรรคประชาธิปไตยระบุว่า หากรัฐบาลยังไม่เสนอร่างได้ทันเวลา จะผลักดันให้สมาชิกสภาคนอื่นยื่นร่างกฎหมายผ่านคณะกรรมาธิการฝ่ายนิติบัญญัติแทน เพื่อให้สามารถอภิปรายได้ในการประชุมสมัยวิสามัญช่วงเดือนมกราคมปีหน้า

ในวันเดียวกันนั้น คณะกรรมการบริการทางการเงินได้ออกแถลงการณ์ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดตั้งคอนซอร์เทียมระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดูแลสเตเบิลคอยน์ อย่างไรก็ตาม ทางหน่วยงานก็ยืนยันว่ารัฐบาลจะเร่งจัดทำร่างกฎหมายตามที่หารือร่วมกับพรรคการเมือง

แม้รัฐบาลและหน่วยงานด้านการเงินจะเร่งให้ความสำคัญกับการวางกรอบกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรวม โดยเฉพาะ *สเตเบิลคอยน์* ซึ่งเป็น ‘คริปโต’ ประเภทหนึ่งที่ผูกค่ากับเงินตราหรือสินทรัพย์อื่นในอัตรา 1:1 เช่น บิตคอยน์(BTC) หรือเงินดอลลาร์ แต่ข้อถกเถียงที่ยังไม่มีบทสรุปก็คือ ใครควรเป็นผู้ออกเหรียญสเตเบิลคอยน์ที่อิงกับเงินวอน และธนาคารควรมีบทบาทเช่นไรในกระบวนการนี้

ความคืบหน้าของร่างกฎหมายในระยะถัดไปน่าจะ ‘เร็วขึ้น’ จากแรงกดดันของฝ่ายการเมือง แต่ก็ยังมีอุปสรรคอีกมาก โดยเฉพาะในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการด้านการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องการความเห็นพ้องร่วมกันในรายละเอียดสำคัญ

*ความคิดเห็น*: ร่างกฎเกณฑ์สำหรับสเตเบิลคอยน์ในเกาหลีใต้นี้จะเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมคริปโตภายในประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องการส่งเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน แต่ความคลุมเครือในบทบาทของธนาคารและเอกชนอาจทำให้การจัดทำกฎหมายฉบับนี้ใช้เวลานานเกินคาด ผู้เล่นที่มีศักยภาพอย่างฟินเทคและบริษัทบล็อกเชนจึงควรจับตาทิศทางของรัฐบาลไว้อย่างใกล้ชิด