ไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid) แจงปมอดีตพนักงานเทขาย $HYPE กว่า 3.9 ล้านบาท ชี้ไม่มีเอี่ยวกับทีมงานปัจจุบัน

โปรเจกต์คริปโต ‘ไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid)’ ได้ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกระเป๋าเงินที่มีการเทขายโทเคน $HYPE ซึ่งหลายคนในชุมชนคาดว่าอาจเป็นกระเป๋าของทีมงาน โดยยืนยันว่าเป็นกระเป๋าของอดีตพนักงานที่ถูกเลิกจ้างในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024

การวิจารณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน หลังโทเคน $HYPE ของไฮเปอร์ลิควิดเริ่มเข้าสู่ตลาดและเกิดกระแสจับตาจากนักวิเคราะห์สายออนเชน โดยพบว่ากระเป๋าเงินที่มีรหัสขึ้นต้นด้วย 0x7ae4...1028 ได้ทยอยขายโทเคนออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชุมชนสงสัยว่าอาจเป็น ‘กระเป๋าของทีมงาน’ ที่กำลังขายโทเคนเพื่อเก็งกำไร

มีรายงานว่ากระเป๋านี้ถือครอง $HYPE ประมาณ 176,000 เหรียญ และมีการโอนบางส่วนเข้าสู่เครือข่าย HyperEVM ของโปรเจกต์เอง นอกจากนี้ การขาย 4,900 เหรียญล่าสุด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 110,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.9 ล้านบาท ยิ่งสร้างความโกลาหลในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเทรดฟิวเจอร์สของ $HYPE

การขายโทเคนจำนวนมากจากผู้ที่อาจมีข้อมูลวงใน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ *สภาพคล่อง* และ *ความมั่นคงของราคา* ในตลาด ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์อย่างหนักจากทั้งนักเทรดและผู้ถือโทเคนทั่วไป

ไฮเปอร์ลิควิดได้ใช้ช่องทาง Discord ของโปรเจกต์เพื่อแถลงว่า กระเป๋าดังกล่าวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทีมงานอีกต่อไป โดยบุคคลดังกล่าวเป็นอดีตพนักงานที่พ้นสภาพไปแล้ว และพฤติกรรมของเขา “ไม่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมและค่านิยมของโปรเจกต์” ตามคำชี้แจงของบริษัท

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ โปรแกรมได้ย้ำถึงนโยบายภายในที่เข้มงวด โดยระบุว่า “ห้ามทีมงานทำการซื้อขายอนุพันธ์เกี่ยวกับ $HYPE” และหากละเมิดจะถูก “เลิกจ้างทันทีและถูกดำเนินการทางกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น”

*ความคิดเห็น*: กรณีดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของโปรเจกต์เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำโจทย์ใหญ่ว่า *การรักษาความโปร่งใส* คือหัวใจในการดำเนินงานของแพลตฟอร์มแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) ซึ่งมีความคาดหวังสูงจากชุมชนผู้ใช้งาน

แม้ไฮเปอร์ลิควิดจะรีบออกมาชี้แจงและย้ำมาตรการควบคุมภายในทันที แต่ *ความเชื่อมั่นของตลาด* อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นกลับมาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลออนเชนสามารถถูกตรวจสอบโดยใครก็ได้ การปรับปรุงกระบวนการติดตามและการสื่อสารกับชุมชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการ *บริหารความเสี่ยงและความโปร่งใส* ในอนาคต