กรรมการ Fed หนุนสเตเบิลคอยน์ หวังรักษาอิทธิพลดอลลาร์ในเวทีโลก

คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ กรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ออกมาสนับสนุนการนำ ‘สเตเบิลคอยน์’ ที่ได้รับการกำกับดูแลมาใช้ โดยมองว่าสามารถช่วยรักษาอิทธิพลของดอลลาร์สหรัฐในเวทีโลก

เมื่อวันที่ 6 วอลเลอร์ให้สัมภาษณ์กับสถาบันแอตแลนติกเคานซิลว่า “สเตเบิลคอยน์สามารถขยายเครือข่ายการชำระเงินทั่วโลกและเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะเงินตราหลักของดอลลาร์” นอกจากนี้ เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การใช้สเตเบิลคอยน์สามารถเพิ่มบทบาทของดอลลาร์ในตลาดการเงินและการลงทุน รวมถึงส่งผลเชิงบวกต่อระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ”

รายงานของบริษัทร่วมลงทุนแอนเดรียสเซน โฮโรวิทซ์ในปีที่ผ่านมาระบุว่า ปัจจุบันสินทรัพย์ที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐครองตลาดสเตเบิลคอยน์กว่า 99% โดยมี ‘เทเธอร์(USDT)’ เป็นผู้นำ ด้วยปริมาณการซื้อขายกว่า 80% ของตลาดทั้งหมด

วอลเลอร์ยังเน้นว่าสเตเบิลคอยน์อาจกลายเป็น “ส่วนสำคัญของระบบการชำระเงิน” และจำเป็นต้องมีกรอบกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง โดยกล่าวว่า “การกำกับดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้มีเสถียรภาพด้านทุนสำรองและเพิ่มความเชื่อมั่นในผู้ออกเหรียญ”

ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ กำลังพยายามลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐในเวทีการค้าโลก วอลเลอร์มองว่า “แม้บางประเทศต้องการลดบทบาทของดอลลาร์ แต่กระแสการเติบโตของสเตเบิลคอยน์กลับอาจทำให้ความพยายามนี้เป็นไปได้ยากขึ้น”

นอกจากนี้ รายงานจากบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนเชนเอลาลิส(Chainalysis) ชี้ว่า สัดส่วนการใช้สเตเบิลคอยน์ในตลาดสหรัฐฯ ลดลงต่ำกว่า 40% ในปี 2024 ขณะที่ตลาดนอกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกิน 60%

ในท่ามกลางแนวโน้มดังกล่าว วุฒิสมาชิกสหรัฐ บิล แฮกการ์ตี ได้ยื่นเสนอ ‘ร่างกฎหมาย GENIUS สเตเบิลคอยน์’ เมื่อวันที่ 4 เพื่อวางกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจน โดยตามร่างกฎหมาย สเตเบิลคอยน์ที่มีมูลค่าตลาดเกิน 10,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.45 ล้านล้านบาท) จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Fed ส่วนเหรียญที่ต่ำกว่านี้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานรัฐระดับมลรัฐ

ในวันเดียวกัน เดวิด แซ็กส์ อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัลในรัฐบาลทรัมป์ ได้ประกาศว่าจะสนับสนุนการพัฒนาสเตเบิลคอยน์ในสหรัฐฯ พร้อมกับผลักดันการยอมรับบิตคอยน์(BTC) และการเติบโตของเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นวาระสำคัญ

ตลาดสเตเบิลคอยน์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2023 และในเดือนมกราคม 2024 มูลค่าตลาดได้ทะลุ 200,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 29 ล้านล้านบาท) โดยความต้องการใช้งานด้านระบบการชำระเงินยังคงเพิ่มขึ้น รายงานล่าสุดระบุว่า ปริมาณการทำธุรกรรมทั้งหมดสูงถึง 27.6 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,998 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่ายอดรวมของวีซ่า(Visa) และมาสเตอร์การ์ด(Mastercard) ถึง 7.7%

ด้วยแนวทางกำกับดูแลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น บทบาทของสเตเบิลคอยน์อาจขยายตัวมากขึ้นในอนาคต ทำให้นักลงทุนและผู้เล่นในอุตสาหกรรมกำลังจับตาการตัดสินใจของ Fed และรัฐสภาสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด