ปากีสถานและบรูไนเร่งพัฒนาบัตรประชาชนดิจิทัล หนุนเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโต

ปากีสถานและบรูไนเร่งพัฒนาระบบ ‘บัตรประชาชนดิจิทัล’ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

ปากีสถานได้เปิดตัว ‘บัตรประชาชนดิจิทัล’ อย่างเป็นทางการ โดยดำเนินการภายใต้สำนักงานทะเบียนประชากรแห่งชาติ(NADRA) ซึ่งเป็นโครงการพิเศษฉลองครบรอบ 25 ปีของหน่วยงานนี้ จุดเด่นของระบบใหม่คือการเป็น ‘รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์’ โดยไม่มีการใช้บัตรพลาสติกแบบเดิม โมชิน แนควี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของปากีสถาน ระบุว่า "การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการบริหารข้อมูลประชากรจะช่วยให้ประชาชนจัดการตัวตนของตนเองได้ง่ายขึ้นผ่านสมาร์ทโฟน" ระบบนี้จะรวมเข้ากับแอปพลิเคชัน 'Pak ID' และจะสามารถใช้ยืนยันตัวตนในบริการต่าง ๆ เช่น หนังสือเดินทางดิจิทัล, บริการทางการเงิน และใบขับขี่

รัฐบาลปากีสถานยังมีแผนเริ่มโครงการทดลองใช้ ‘ระบบตรวจสอบตัวตนอัตโนมัติ’ ในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารโลก(WB) ระบบดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงชาวปากีสถานที่พำนักในต่างประเทศ สามารถเข้าถึงบริการของรัฐผ่านช่องทางดิจิทัลได้สะดวกยิ่งขึ้น

ขณะที่บรูไนก็กำลังเดินหน้าเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล โดยเปิดตัว 'บรูไน ดิจิทัล ID(BruneiID)' ซึ่งกระทรวงคมนาคมและสารสนเทศของประเทศเป็นแกนหลักในการพัฒนา ชัมฮารี มุสตาฟา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ยืนยันว่ารัฐบาลใช้แนวทางที่ ‘รอบคอบแต่มั่นคง’ ในการดำเนินโครงการนี้ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดขั้นตอนในการตรวจสอบตัวตน ในช่วงทดลองใช้งาน 6 เดือนแรก ระบบนี้จะถูกนำไปใช้ในหลายภาคส่วน เช่น บริการทางการเงิน, บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และการจ่ายเงินอุดหนุนจากรัฐ

สำหรับการจัดทำโครงการนี้ รัฐบาลบรูไนได้จัดสรรงบประมาณ 146.5 พันล้านดอลลาร์บรูไน (ประมาณ 1.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) พร้อมแผนลงทุนเพิ่มในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI) และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภาครัฐให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

แนวโน้มการใช้บัตรประชาชนดิจิทัลกำลังขยายตัวในหลายประเทศ เช่น ไนจีเรีย, แซมเบีย และเกาหลีใต้ ที่กำลังศึกษาและพัฒนาระบบดังกล่าว ด้านไต้หวันก็มีแผนเปิดตัว ‘กระเป๋าเงินดิจิทัลระดับชาติ’ ภายในปี 2025 ซึ่งจะรวมฟังก์ชันของบัตรประชาชนดิจิทัลไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม การขยายการใช้งานระบบนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงถึงประเด็นด้าน ‘ความปลอดภัย’ และ ‘ความเป็นส่วนตัว’ ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องปรับนโยบายเพื่อจัดการความท้าทายเหล่านี้อย่างเหมาะสม