ผู้เชี่ยวชาญเตือน! เลเยอร์ 2 อาจกระทบความปลอดภัยและการกระจายศูนย์ของบล็อกเชน

ในวงการคริปโต การหาทางออกสำหรับ ‘ความสามารถในการขยายตัว’ และ ‘ประสิทธิภาพ’ เป็นภารกิจสำคัญ ซึ่ง ‘เลเยอร์ 2 (L2)’ ถือเป็นโซลูชันหลัก อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายเตือนว่า L2 อาจส่งผลเสียต่อ ‘การกระจายศูนย์’ และ ‘ความปลอดภัย’ ของบล็อกเชนมากกว่าที่คาดคิด

แม้ว่า L2 ถูกพัฒนาเพื่อลดภาระของบล็อกเชนหลัก แต่โครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น โรลอัป(rollup), บริดจ์(bridge) และ ‘การแยกสภาพคล่อง’ กลับทำให้เกิดรูปแบบที่คล้ายกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งเสี่ยงต่อการลดทอนความ ‘น่าเชื่อถือ’ และ ‘ความปลอดภัย’ ของเครือข่าย นอกจากนี้ L2 แต่ละประเภทมีแนวทางการทำงานที่แตกต่างกัน ทำให้ ‘นักพัฒนา’ และ ‘ผู้ใช้’ ต้องเสียเวลาเรียนรู้ระบบที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

ปัญหาหลักของ L2 คือ ‘การพึ่งพา’ ตัวตรวจสอบธุรกรรม (Validator) และตัวจัดลำดับคำสั่ง (Sequencer) ซึ่งอาจนำไปสู่ ‘การรวมศูนย์’ มากขึ้น หาก L2 บางแห่งเผชิญปัญหาด้านความปลอดภัยหรือหยุดดำเนินการ อาจกระทบต่อระบบนิเวศของบล็อกเชนโดยรวม นอกจากนี้ ‘ช่องโหว่ของบริดจ์’ ซึ่งเป็นช่องทางในการโอนสินทรัพย์ข้ามเครือข่าย ยังเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายกังวล

ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำให้พิจารณาการพัฒนาเทคโนโลยีบน ‘เลเยอร์ 1 (L1)’ เพื่อแก้ไขปัญหาขยายตัวอย่างแท้จริง โดยหนึ่งในโซลูชันที่กำลังได้รับความสนใจคือ ‘ชาร์ดดิ้ง(Sharding)’ ซึ่งเครือข่ายอย่าง ‘อีเธอเรียม(ETH)’ กำลังศึกษาแนวทางนี้ ชาร์ดดิ้งเป็นการแบ่งข้อมูลออกเป็นหลายส่วนเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกรรมแบบขนาน ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพของบล็อกเชนโดยรวมอย่างมาก

หากเป้าหมายของ ‘การเงินแบบกระจายศูนย์(DeFi)’ คือการทำให้ทุกธุรกรรมอยู่บนเครือข่ายบล็อกเชนโดยสมบูรณ์ การเน้นแก้ปัญหาที่ L1 อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม การพึ่งพา L2 มากเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหาที่คล้ายกับ ‘ระบบการเงินแบบดั้งเดิม’ ซึ่งเป็นสิ่งที่คริปโตพยายามหลีกเลี่ยง

ในระยะยาว การพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนควรมุ่งไปสู่การ ‘ขยายตัว’ ควบคู่กับการรักษาหลักการ ‘กระจายศูนย์’ ซึ่งหมายความว่าต้องมีการพัฒนา L1 อย่างต่อเนื่องเพื่อลดการพึ่งพาโซลูชันภายนอก อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกแนวทางพัฒนาในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการชั่งน้ำหนักระหว่าง ‘ความเร็ว’ และ ‘ความปลอดภัย’ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของเครือข่ายบล็อกเชน