ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
นักลงทุนบิตคอยน์(BTC) เริ่มกลับมาขายทำกำไรกันอีกครั้ง หลังจากราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้เข้าสู่ช่วงปรับฐาน โดยพบว่า *การขายเพื่อทำกำไร* เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย
จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชน แกลสโนด (Glassnode) ณ วันที่ 30 มิถุนายน มูลค่ากำไรที่เกิดขึ้นจริงบนเครือข่ายบิตคอยน์อยู่ที่ 2.46 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 84,000 ล้านบาท) ซึ่งคำนวณจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 7 วันพบว่าอยู่ที่ระดับ 1.52 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 61,000 ล้านบาท) สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายวันตั้งแต่ต้นปีที่ประมาณ 1.14 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 47,000 ล้านบาท) อย่างชัดเจน
ผู้ที่นำหน้าการขายทำกำไรในครั้งนี้คือกลุ่มนักลงทุนระยะกลางถึงยาวที่ถือครองบิตคอยน์มาแล้ว 3–5 ปี โดยทำกำไรไปกว่า 849 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 31,000 ล้านบาท) ตามมาด้วยกลุ่มที่ถือมานาน 7–10 ปี มูลค่าประมาณ 485 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 17,000 ล้านบาท) และกลุ่มถือมาระยะเวลา 1–2 ปี มูลค่า 445 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16,000 ล้านบาท) ในขณะที่นักลงทุนระยะสั้นซึ่งถือครองไม่ถึง 1 ปี มีกำไรที่ทำได้ไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 200 ล้านบาท)
ข้อมูลดังกล่าว *สะท้อนให้เห็นว่าเหรียญที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา กำลังถูกแปลงเป็นกำไรในช่วงราคาปัจจุบัน* อย่างมีนัย นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์ว่าการจำหน่ายเหรียญของนักลงทุนระยะยาวเหล่านี้ อาจช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาด และสนับสนุนความมั่นคงของราคาบิตคอยน์ในระยะถัดไป
ขณะเดียวกัน บริษัทวิจัยดีไฟที่เน้นวิเคราะห์ในเชิงสถาบันอย่าง เซนโทรา (Sentora) ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า ‘อินทูเดอะบล็อก’ ก็ยืนยันแนวโน้มดังกล่าว โดยระบุว่ากระเป๋าเงินของวาฬที่ถือครองบิตคอยน์มากกว่า 1,000 BTC กำลังลดปริมาณเหรียญในครอบครองลง แสดงให้เห็นถึงการกระจายและปรับพอร์ตโฟลิโอของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด อย่างไรก็ตาม เซนโทรากลับมองว่านี่ไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอของตลาด แต่เป็นการปรับโครงสร้างตลาดให้มีความ *เติบโตและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น*
ปัจจุบัน ราคาบิตคอยน์ยังคงเคลื่อนไหวทรงตัวต่ำกว่า 110,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.9 ล้านบาท) ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงพักฐานหลังจากขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแนวโน้มการขายของนักลงทุนระยะยาว และการปรับสถานะของวาฬ อาจเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลง ‘โครงสร้างการหมุนเวียน’ ของบิตคอยน์ในระยะยาว ความคิดเห็น: นี่อาจเป็นการปูทางสู่สภาวะตลาดที่มีความยั่งยืนมากกว่าเดิม
ความคิดเห็น 0