ริปเปิล(XRP) ยืนหนึ่งในกลุ่มอัลท์คอยน์ แม้เงินไหลเข้าลดลงกว่า 83%

ในขณะที่ตลาดคริปโตเผชิญภาวะปรับฐานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา *ริปเปิล(XRP)* ยังคงแสดงความแข็งแกร่งได้อย่างน่าจับตา โดยแม้ว่ามูลค่าการไหลเข้าของ XRP ในกองทุนคริปโตทั่วโลกจะลดลงถึง 83.4% จากสัปดาห์ก่อนหน้า เหลือเพียง 31.3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 434 ล้านบาท) แต่ก็ยังคงเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีการไหลเข้าอันดับสองรองจาก *อีเธอเรียม(ETH)*

ข้อมูลนี้อ้างอิงจากรายงานของ *CoinShares* บริษัทบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ระบุว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคริปโตเผชิญการไหลออก (outflow) สูงถึง 223 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,100 ล้านบาท) นับเป็นสัปดาห์ที่อ่อนแอที่สุดของปีนี้ แม้แต่ *บิตคอยน์(BTC)* เองยังพบการไหลออก 404 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,616 ล้านบาท) มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา

ทิศทางตลาดเริ่มเปลี่ยนอย่างชัดเจนช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวนโยบายดอกเบี้ย และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีกว่าคาด ทำให้ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยภายในปีนี้ลดลงตาม ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง โดยมีการไหลออกของสินทรัพย์มากถึง 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 13,900 ล้านบาท) ภายในวันเดียวในวันศุกร์

แม้ตลาดโดยรวมจะซบเซา แต่ XRP ยังคง"ติดอันดับผู้นำในกลุ่มอัลท์คอยน์" ตัวอื่นกลับทำผลงานไม่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น *โซลานา(SOL)* ที่มีเงินไหลเข้าเพียง 8.8 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 122 ล้านบาท) หรือกลุ่มสกุลเงินขนาดเล็กอย่าง *อาเบ(AAVE)*, *เซย์(Sei)* และ *ไลต์คอยน์(LTC)* ก็มีการลงทุนใหม่เพียงเล็กน้อย

ขณะที่ *อีเธอเรียม(ETH)* ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยมีเงินไหลเข้าในสัปดาห์นี้ถึง 133.9 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,860 ล้านบาท) ถือเป็นสัปดาห์ที่ 15 ติดต่อกันที่ ETH มียอดการลงทุนใหม่

ในมุมมองของ CoinShares ตลาดอาจอยู่ระหว่างการ “ปรับฐานอย่างธรรมชาติ” จากการไหลเข้าของเงินทุนมากกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 466,800 ล้านบาท) ตลอดเดือนที่ผ่านมา โดยนักลงทุนควรให้ความสนใจกับ ‘สินทรัพย์ที่ยังคงดึงดูดเงินทุน’ ท่ามกลางการชะลอตัวของตลาด

*ความคิดเห็น*: แม้ยอดไหลเข้าของ XRP จะลดลงมาก แต่ XRP ยังคงยืนหนึ่งในกลุ่มอัลท์คอยน์หลัก เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่านักลงทุนจำนวนไม่น้อยยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของเหรียญนี้ ท่ามกลางการพักฐานของตลาด การจับตามองว่า ‘ใครจะฟื้นตัวก่อน’ อาจช่วยกำหนดทิศทางรอบถัดไปของเงินทุนได้อย่างชัดเจน