รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์เตรียมออกคำสั่งบริหารใหม่เพื่อตอบโต้การเลือกปฏิบัติทางการเงินต่อบริษัทคริปโตอย่างเด็ดขาด โดยคำสั่งดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ธนาคารยกเลิกบัญชีลูกค้าเนื่องจากเหตุผลทางการเมืองหรือเพียงเพราะเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างสูงจาก *วงการคริปโต*
เมื่อวันที่ 24 ตามรายงานของ Wall Street Journal รัฐบาลทรัมป์กำลังเดินหน้าเสริมความเข้มงวดในมาตรการ ‘การเงินที่เป็นธรรม’ เพื่อจัดการกับกรณีที่ธนาคารรายใหญ่เลือกปฏิบัติต่อบริษัทที่ดำเนินกิจการด้านบิตคอยน์(BTC)และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ คำสั่งบริหารฉบับนี้จะสั่งการให้หน่วยงานกำกับดูแลธนาคารตรวจสอบการละเมิด *กฎหมายโอกาสที่เท่าเทียมในการขอสินเชื่อ*, *กฎหมายต่อต้านการผูกขาด* และ *กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค* อย่างเข้มงวด หากตรวจพบการละเมิด สถาบันการเงินอาจเผชิญโทษปรับ คำสั่งยืนยันการกระทำความผิด (consent decree) หรือการลงโทษทางกฎระเบียบอื่น ๆ
คาดว่าทรัมป์จะลงนามคำสั่งนี้ภายในสัปดาห์นี้ โดยนโยบายใหม่นี้ถูกมองว่าเป็นการหักมุมจากยุคไบเดนที่ใช้แนวทาง ‘ปฏิบัติการโช้คพอยต์ 2.0(Operation Chokepoint 2.0)’ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเลือกปฏิบัติต่อธุรกิจคริปโตอย่างเป็นระบบ ฝ่ายทรัมป์ระบุว่า “เป้าหมายคือ *ไม่ให้ธุรกิจคริปโตถูกถอดออกจากระบบธนาคาร (debank)* ด้วยเหตุผลทางการเมือง” พร้อมเน้นย้ำหลักความเท่าเทียมในระบบการเงิน
ในความเป็นจริง เจพีมอร์แกนเชสได้ยุติบัญชีของลูกค้าบางรายตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 โดยอิงจากการที่รายได้หลักมาจากธุรกิจคริปโต ขณะที่แซม คาเซเมียน ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มเฟร็กซ์ไฟแนนซ์(Frax Finance) ออกมาเผยว่าเขาได้รับแจ้งจากธนาคารว่าจะไม่ให้บริการหากมีรายได้จากคริปโตเท่านั้น เช่นเดียวกับกรณีของเคย์ตลิน ลอง CEO แห่งธนาคารเค Custodia, ไทเลอร์ วิงเคิลวอส ผู้ร่วมก่อตั้งเจมิไน, และชาร์ลี เชรม สมาชิกบิทคอยน์ฟาวเดชัน ซึ่งล้วนเคยประสบเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน
อีลอน มัสก์(Elon Musk) CEO ของเทสลา(TSLA) ก็เคยเปิดเผยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ผ่านบัญชี X (ชื่อเดิมของทวิตเตอร์) ว่ามีผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพสายเทคโนโลยีมากถึง 30 ราย ถูกถอดออกจากธนาคารอย่างเงียบ ๆ ภายใต้รัฐบาลไบเดน ฝ่ายทรัมป์จึงชูภาพนี้เป็นหลักฐานสำคัญว่า “*คริปโตคือศูนย์กลางของอุตสาหกรรมใหม่* และการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นภายใต้ชื่อของกฎระเบียบทางการเมือง”
ในฝั่งของธนาคาร พวกเขาให้เหตุผลเป็นเรื่องของการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น กฎหมายป้องกันการฟอกเงิน(AML) โฆษกของแบงก์ออฟอเมริกา(Bank of America) ระบุว่า “เราทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งเพื่อเสนอแนวทางสร้างระบบการเงินที่เชื่อถือได้”
อย่างไรก็ดี หน่วยงานการเงินบางแห่งกลับเริ่มพิจารณาการออกเหรียญ *สเตเบิลคอยน์* หรือการลงทุนในโปรเจกต์คริปโต ซึ่งทำให้บางฝ่ายมองว่าเป็นการเข้าหาโอกาสอย่างขาดความจริงใจ เพราะแก่นของคริปโตคือ *ระบบการเงินไร้ศูนย์กลาง* ซึ่งขัดแย้งกับโครงสร้างของการเงินแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง
คำสั่งบริหารฉบับใหม่นี้จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่า *ประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าตลาดคริปโตคือประเด็นสำคัญทั้งทางการเงินและการเมือง* และอาจกลายมาเป็น *ประเด็นหลักในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งถัดไป* ซึ่งอุตสาหกรรมคริปโตต่างเฝ้าจับตา ว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมการปิดกั้นจากสถาบันการเงินแบบเดิมได้หรือไม่
ความคิดเห็น 0