ในประเทศสเปน มีรายงานกรณีที่นักลงทุนคริปโตต้องเผชิญคำสั่งเรียกเก็บภาษีจำนวนมหาศาลจากกิจกรรมในระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) ซึ่งได้ก่อให้เกิดกระแสสะเทือนไปทั่ววงการคริปโตในยุโรป ล่าสุดสำนักข่าวท้องถิ่น Periodista Digital รายงานว่า นักลงทุนรายหนึ่งถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเป็นจำนวนกว่า *14.6 ล้านยูโร* หรือประมาณ *1,519 ล้านบาท* เพียงเพราะได้นำคริปโตมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอกู้ยืม
จากรายงานระบุว่า นักลงทุนรายนี้ได้ดำเนินการแจ้งธุรกรรมคริปโตทั้งหมดให้กับหน่วยงานสรรพากรสเปน พร้อมชำระภาษีมูลค่าราว *584 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* หรือประมาณ *812 ล้านบาท* อย่างถูกต้องครบถ้วน อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี รัฐบาลกลับพิจารณาว่าการนำสินทรัพย์กลับเข้าแพลตฟอร์ม DeFi เพื่อรับเงินกู้นั้น ถือเป็นการ ‘รับรายได้’ และจึงดำเนินการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม แม้ว่าทรัพย์สินนั้นจะยังไม่ถูกขายหรือที่เรียกว่า ‘ยังไม่รับรู้กำไร’ ก็ตาม
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีจำนวนมากแสดงความเห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้ “ขาดพื้นฐานทางกฎหมายโดยสิ้นเชิง” โดยหนึ่งในนักกฎหมายภาษีของสเปนระบุว่า “ธุรกรรมลักษณะนี้ *ไม่สามารถนับเป็นรายได้* ได้ไม่ว่าจะในเชิงเศรษฐกิจหรือกฎหมาย” พร้อมเสริมว่า “ทั้งในกฎหมายภาษีของสเปนและสหภาพยุโรป *ไม่มีบทบัญญัติใด* ที่รองรับการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมลักษณะนี้”
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึง *ความไม่ชัดเจนและขาดความโปร่งใส* ของแนวทางการกำกับดูแล DeFi ในยุโรป และกลายเป็น *คดีตัวอย่าง* ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในแวดวงคริปโต โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ใช้ระบบ DeFi เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเงิน กลายเป็นสัญญาณเตือนว่า แม้แค่การเคลื่อนย้ายสินทรัพย์โดยไม่แปลงเป็นเงินสดก็อาจเริ่มส่งผลภาษีที่ไม่คาดคิดในอนาคต
*ความคิดเห็น:* กรณีนี้สร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับนักลงทุนในยุโรป และสะท้อนถึงความจำเป็นในการมีมาตรฐานภาษีที่ทันสมัยยิ่งขึ้นสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลในยุค DeFi ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น 0