ตลาดโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพแบบกระจายศูนย์ หรือ *DePIN* กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยระดมทุนได้ราว 2,085 ล้านบาท(150 ล้านดอลลาร์)ในไตรมาสแรกของปี 2025 แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2028 ขนาดตลาดจะพุ่งแตะ 4,865 ล้านล้านบาท(3.5 ล้านล้านดอลลาร์) แต่สิ่งที่น่าจับตามองยิ่งกว่านั้นคือ *DePIN กำลังเบ่งบานในพื้นที่ไหนกันแน่*
ขณะนี้ตลาดเกิดใหม่ เช่น *ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และลาตินอเมริกา* กำลังกลายเป็นแนวหน้าของการนำ DePIN ไปใช้จริง แทนที่ศูนย์กลางเดิมอย่างซิลิคอนวัลเลย์ ปัจจัยสนับสนุนคือปัญหาช่องว่างของโครงสร้างพื้นฐานและแนวโน้มการเปิดรับนวัตกรรมที่อิงกับ *Web3* ซึ่งมักเน้นที่ความยืดหยุ่นด้านกฎระเบียบ และวิธีคิดแบบชุมชนเป็นศูนย์กลาง ความคิดเห็น: ตลาดเหล่านี้ไม่ได้แค่รองรับ แต่กำลังกลายเป็น *สนามทดสอบจริง* สำหรับ DePIN
นานาชาติต่างเดินหน้าตั้ง *แซนด์บ็อกซ์ทางกฎหมาย* เพื่อรองรับเทคโนโลยีนวัตกรรมนี้แบบจริงจัง ดูไบออกตั้งแต่ปี 2022 ผ่าน *หน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์เสมือน(VAR)* เพื่อสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน Web3 โดยเฉพาะ ส่วนธนาคารกลางสิงคโปร์(MAS) กำลังผลักดันโครงการ *Project Guardian* และ *Blockchain Innovation Programme* เพื่อเร่งการ *โทเค็นสินทรัพย์จริง (Tokenization)* และมีกรอบกฎหมายที่อนุญาตให้ฟินเทคทดลองใช้บล็อกเชนได้อย่างถูกต้อง
ฝั่งเกาหลีใต้เองก็ดำเนินการมาก่อนหน้าแล้ว *แอลจี ยูพลัส(LG U+)* เริ่มทดลองระบบโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้บล็อกเชนตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งถ้าดำเนินการในสหรัฐอาจใช้เวลาหลายปีเพราะติดข้อจำกัดจาก FCC ส่งผลให้ภายในปี 2023 มีผู้ให้บริการบล็อกเชนเพิ่มขึ้นถึง 15% จากปีก่อนหน้า
ในเวียดนาม รัฐบาลเตรียมเปิดตัว *ยุทธศาสตร์บล็อกเชนแห่งชาติ* ปลายปี 2024 เพื่อผลักดันการใช้เทคโนโลยีนี้ในหลากหลายภาคส่วน เช่น การเงิน โลจิสติกส์ เกษตรกรรม และการจัดการข้อมูล โดยเฉพาะในโครงการ *แพลตฟอร์มบล็อกเชนระดับชาติ(NDAChain)* ที่เน้นการให้บริการรัฐและระบบยืนยันตัวตนดิจิทัลก็มีการทดลองใช้แล้ว
จุดแข็งอีกอย่างที่ผลักดัน DePIN คือ *การไหลเวียนของเงินทุนที่ชัดเจน* แม้ว่าซิลิคอนวัลเลย์ยังครอง 24% ของเม็ดเงินสำหรับการลงทุนร่วม (รวม 512 ล้านล้านบาทหรือ 3.68 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024) แต่เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่บล็อกเชนโดยตรงนั้นเริ่มเบนออกสู่ภูมิภาคอื่น อาบูดาบีตั้งกองทุน *โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้านพลังงาน* มูลค่า 6,950 ล้านบาท(500 ล้านดอลลาร์) เพื่อเจาะจงลงทุนในเทคโนโลยี DePIN, บล็อกเชน, AI และคลาวด์
นอกจากนี้ ยังมีชื่อของกองทุนความมั่งคั่งของสิงคโปร์อย่าง *GIC* และ *เทมเซ็ก(Temasek)* ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน GIC ลงทุนประมาณ 975 ล้านบาท(70 ล้านดอลลาร์)ใน *กลุ่ม BC* ที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง ขณะที่เทมเซ็กใส่เงินราว 1,529 ล้านบาท(110 ล้านดอลลาร์)ใน *แอนิโมกา แบรนด์ส(Animoca Brands)* เพื่อเร่งต่อยอดระบบ Web3 อย่างเป็นรูปธรรม
ตรงกันข้ามกับสหรัฐที่ยังมีข้อจำกัด โดยโปรเจกต์ DePIN อย่าง *เฮลิอุม(Helium)* แม้จะติดตั้งจุดกระจายสัญญาณไร้สายกว่า 380,000 จุดในสหรัฐ แต่ความต้องการจริง ๆ กลับกระจุกอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และลาตินอเมริกา เช่นในเม็กซิโก ลูกค้าค่ายโทรคมนาคม *โมวิสตาร์(Movistar)* สามารถใช้อินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายของเฮลิอุมเฉลี่ยวันละ 390MB หรือประมาณ 7 ชั่วโมง ซึ่งตอกย้ำว่า *DePIN สามารถแทนที่โครงสร้างพื้นฐานเดิมได้จริง*
วันนี้ ผู้ประกอบการและนักพัฒนาด้าน DePIN ต้องเริ่มมองข้ามผู้ใช้ประเภท ‘เออร์ลี่อะแดปเตอร์’ ที่นั่งอยู่ในคาเฟ่ย่านพาโลอัลโต แล้วหันไปหา *กลุ่มผู้ใช้งานจริง* ที่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในตลาดที่รองรับโซลูชันเร็ว มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน และเปิดรับการแก้ไขปัญหาแบบใหม่แบบกล้าได้กล้าเสีย ความคิดเห็น: หากรัฐบาลในแต่ละประเทศปรับแนวทางจากการใช้กรอบเก่า มาออกแบบกฎหมายใหม่เพื่อรองรับโลกบล็อกเชนโดยเฉพาะ จะยิ่งสร้างแรงดึงดูดต่อโปรเจกต์ในอนาคต
ที่ผ่านมา ในยุคมือถือช่วงปี 2010 เอเชียสามารถพลิกกลับจากการตามหลังตลาดเดสก์ท็อปมาเป็นผู้นำ โดยการเติบโตของแพลตฟอร์มอย่าง *วีแชท, โกเจ็ก และคา카오* ถือเป็นตัวอย่างของการ *ปรับใช้เทคโนโลยีให้เหมาะกับบริบทท้องถิ่น* ที่สามารถพลิกโฉมการแข่งขันปัจจุบัน ตอนนี้ *ยูเออี, เวียดนาม และสิงคโปร์* ก็เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำคู่ขนานด้าน Web3 ซึ่งน่าจับตาว่าในอีก 5–10 ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในระดับโลกเกิดขึ้นจากภูมิภาคนี้อีกครั้ง.
ความคิดเห็น 0