ไบแนนซ์ยังคงครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งในโลกของการเทรดคริปโต ด้วยจำนวนผู้ใช้งานและปริมาณการซื้อขายที่ทิ้งห่างคู่แข่ง การทำความเข้าใจเรื่อง ‘โครงสร้างค่าธรรมเนียม’ จึงกลายเป็นอาวุธลับของนักเทรดที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนอย่างมีประสิทธิภาพ ไบแนนซ์มีการจำแนกค่าธรรมเนียมตามประเภทคำสั่ง ระดับบัญชี และเครือข่ายที่เลือกใช้งาน ซึ่งผู้ใช้จำเป็นต้องศึกษาให้ชัดหากไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายส่วนเกินโดยไม่รู้ตัว
ค่าธรรมเนียมซื้อขายในตลาดสปอตของไบแนนซ์เริ่มต้นที่ 0.1% ทั้งฝั่งผู้เสนอราคา(Maker) และผู้รับราคา(Taker) ตัวอย่างเช่น หากสั่งซื้อบิตคอยน์(BTC) ที่ราคา 30,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 4.17 ล้านบาท) แบบราคาตลาด จะมีค่าธรรมเนียมราว 30 ดอลลาร์ (ประมาณ 41,700 บาท) อย่างไรก็ตาม หากชำระค่าธรรมเนียมด้วยไบแนนซ์คอยน์(BNB) จะได้รับ ‘ส่วนลด 25%’ เหลือเพียงประมาณ 22.5 ดอลลาร์ (ประมาณ 31,275 บาท)
สำหรับตลาดฟิวเจอร์สของไบแนนซ์ ค่าธรรมเนียมจะแตกต่างออกไป โดยในสัญญาที่อิงตามเตเธอร์(USDT) ผู้เสนอราคาจะถูกเก็บที่ 0.02% ส่วนผู้รับราคาคือ 0.05% ที่สำคัญคือค่าธรรมเนียม ‘Funding Rate’ ที่คิดทุก 8 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายหรือรายได้เพิ่มเติมขึ้นอยู่กับว่าเปิดสถานะฝั่งไหน เช่น หากมีสถานะ Long มูลค่า 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.39 ล้านบาท) และ Funding Rate อยู่ที่ 0.01% จะมีต้นทุนหรือเงินเข้า 1 ดอลลาร์ต่อรอบ (ประมาณ 1,390 บาท)
ในการเทรดออปชันจะมีค่าธรรมเนียมเมื่อสั่งซื้อ (Premium) และเมื่อใช้สิทธิ(Maturity Exercise Fee) โดยคิดค่าธรรมเนียมพื้นฐานเช่นเดียวกับตลาดอื่นๆ คือ 0.02% สำหรับผู้เสนอราคา และ 0.03% สำหรับผู้รับราคา และหากใช้งาน BNB หรือได้รับการเลื่อนระดับสิทธิ VIP ก็จะได้รับ ‘ส่วนลดเพิ่มเติม’
ค่าธรรมเนียมฝากและถอนก็เป็นอีกจุดที่ไม่ควรมองข้าม ไบแนนซ์อนุญาตให้ *ฝากคริปโตฟรีในเกือบทั้งหมด* แต่ค่าธรรมเนียมการถอนจะผันแปรตามสถานะเครือข่ายและระบบที่เลือกใช้ เช่น การถอนอีเธอเรียม(ETH) ผ่านเครือข่าย ERC-20 จะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการถอนผ่าน BEP-20 (ระบบของ BNB) การฝากเงินด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิตมักมีค่าธรรมเนียม 1–3% แต่หากเป็นการโอนผ่านบัญชีธนาคารส่วนมากจะไม่เสียค่าธรรมเนียม
ในส่วนของการเทรดแบบมาร์จิ้น นักลงทุนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยรายวันสำหรับสินทรัพย์ที่ยืมใช้ เช่นหากอัตราดอกเบี้ยรายวันอยู่ที่ 0.02% และยืม 5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 695,000 บาท) จะถูกคิดดอกเบี้ยวันละ 1 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,390 บาท) ดังนั้น ‘การวางกลยุทธ์อย่างรอบคอบ’ ถือว่าสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้เลือกใช้วิธีนี้
ไบแนนซ์ยังให้บริการตลาด NFT โดยมีค่าธรรมเนียม 1% สำหรับการซื้อขาย รวมถึงค่า Royalty ให้กับศิลปินสูงสุดถึง 10% และค่าธรรมเนียมการสร้าง(Minting) อีกทั้งในระบบ P2P ค่าธรรมเนียมฝั่งผู้ซื้อส่วนใหญ่จะไม่มี แต่ฝั่งผู้ขายอาจมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตามวิธีการจ่ายเงินของผู้ซื้อและขั้นตอนการดำเนินการ
กรณีตัวอย่างในการซื้ออีเธอเรียม(ETH) 2 เหรียญที่ราคา 3,600 ดอลลาร์ (ประมาณ 5 แสนบาท) ค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ 3.6 ดอลลาร์ (ประมาณ 5,004 บาท) แต่หากชำระด้วย BNB จะลดลงเหลือ 2.7 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,753 บาท) ซึ่งความต่างเล็กน้อยเช่นนี้ หากทำซ้ำหลายรอบสามารถแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนที่สูงมากได้
ระบบ VIP ของไบแนนซ์มีตั้งแต่ระดับ 0 ถึง 9 โดยระดับที่สูงขึ้นจะได้รับ ‘ค่าธรรมเนียมที่ต่ำลง’ เช่น VIP 9 มีค่าธรรมเนียมในตลาดสปอตต่ำเพียง 0.01% สำหรับผู้เสนอราคา และ 0.02% สำหรับผู้รับราคา
แต่สิ่งที่น่าจับตามองไม่ใช่แค่ตัวเลขของค่าธรรมเนียมแบบชัดเจนเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่า ‘ต้นทุนแฝง’ อย่างเช่น ความล่าช้าในการจับคู่คำสั่ง สภาพคล่องต่ำ ความคลาดเคลื่อนของราคา(Slippage) หรือค่าธรรมเนียมแปลงสกุล ล้วนส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็น
กล่าวโดยสรุป ไบแนนซ์มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่ ‘แข่งขันได้’ และเปิดโอกาสให้นักลงทุนปรับกลยุทธ์เพื่อประหยัดต้นทุนผ่านแผนต่างๆ เช่น การใช้ BNB ชำระค่าธรรมเนียม, รักษาระดับ VIP, เลือกเครือข่ายถอนเงินที่เหมาะสม และเลือกประเภทคำสั่งซื้อขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงการจับจังหวะในแต่ละครั้งให้ดี ยิ่งนักเทรดเข้าใจระบบค่าธรรมเนียมมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างจากคนอื่นได้มากขึ้นเท่านั้น ‘ความละเอียด’ จึงเป็นกุญแจในการเทรดระดับมืออาชีพบนแพลตฟอร์มไบแนนซ์
ความคิดเห็น 0