เม็กซีเวนเจอร์ส(MEXC Ventures) บริษัทลงทุนด้านคริปโตชั้นนำระดับโลก เผยแพร่รายงานวิจัยล่าสุดโดยชี้ว่า การแข่งขันในระบบนิเวศของอีเธอเรียม(ETH) Layer 2 กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยจุดแข่งสำคัญกำลังเคลื่อนจาก ‘ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ’ ไปเป็น ‘ประสบการณ์ผู้ใช้’ และ ‘กลยุทธ์การรวมระบบนิเวศ’
ช่วงกระแส DeFi บูมในปี 2021 การที่ค่าก๊าซของอีเธอเรียมเมนเน็ตสูงกลายเป็นแรงผลักสำคัญให้เกิดโซลูชัน Layer 2 (L2) อย่าง Arbitrum, Optimism และ zkSync ที่ตอบโจทย์ด้วยต้นทุนธุรกรรมต่ำและความเร็วในการยืนยันที่สูง อย่างไรก็ตามในปี 2025 ที่ค่าก๊าซเฉลี่ยลดลงมาอยู่แค่ราว 0.01 ถึง 0.02 ดอลลาร์ จุดแข่งด้านราคาได้ถูกลดบทบาทไป ผู้ใช้งานหันมาให้ความสำคัญกับอินเทอร์เฟซใช้งานที่ลื่นไหล เสถียรภาพของระบบบริดจ์ และความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างระบบมากยิ่งขึ้น
บริดจ์สำหรับโอนสินทรัพย์ระหว่าง L2 ยังถูกมองว่าเป็นจุดติดคอเชิงเทคนิค โดยความเสี่ยงยังคงรวมถึงความล่าช้า ค่าธรรมเนียมสูง และช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการแฮ็กของ Nomad ในปี 2022 และเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของ Multichain ในปี 2023 ซึ่งส่งผลสะเทือนต่อตลาดอย่างมาก เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว Optimism ผลักดันแนวคิด Superchain ขณะที่ zkSync พัฒนาในทิศทางของ Hyperchain เพื่อเสนอบริดจ์ที่เสถียรและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลเชิงปริมาณ แนวโน้มก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เดิมการวัดความสำคัญของโปรเจกต์มักดูจากมูลค่าเงินฝากรวม (TVL) แต่ตอนนี้ชี้ว่าดัชนีดังกล่าวโน้มเอียงจากแรงกระเพื่อมของนักลงทุนรายใหญ่มากเกินไป ปัจจุบัน นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญกับข้อมูลอย่างจำนวนผู้ใช้งานต่อวัน (DAU) และจำนวนธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง Arbitrum รักษาตำแหน่งผู้นำด้วยธุรกรรมมากกว่า 1 ล้านรายการต่อวัน Optimism ใช้ความร่วมมือกับ Base — เชน L2 ของ Coinbase — เพื่อขยายฐานผู้ใช้ ส่วน zkSync แม้จะมียอด DAU ต่ำกว่า แต่ก็มีความได้เปรียบในด้านนวัตกรรม UX อย่างการนำเสนอเทคโนโลยีบัญชีแบบนามธรรม (Account Abstraction)
แม้การแข่งขันจะดุเดือดในระดับ L2 แต่อีเธอเรียม(ETH) ยังคงเป็นศูนย์กลางของแรงดึงดูดในระบบนิเวศ เม็กซีเวนเจอร์สวิเคราะห์ว่า โครงสร้างพื้นฐานของ L2 ทั้งหมดต่างพึ่งพาความปลอดภัยบนเครือข่ายของ ETH อีกทั้งยังถือครองพูลสภาพคล่องที่ใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม มีคำเตือนว่าหากผู้ใช้งานไม่ ‘ตระหนัก’ ว่ากำลังใช้งาน ETH ผ่าน L2 ค่าเล่าเรื่อง(storytelling value) ของอีเธอเรียมอาจจะเริ่มจางหายไป
การแข่งขันในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่เน้น UX เช่น การสร้างกระเป๋าสตางค์โดยไม่ใช้ seed phrase, การทำธุรกรรมแบบไม่เสียค่าก๊าซ(Gasless TX) ที่โปรเจกต์เป็นผู้ออกแทน, การบริดจ์ที่ทำงานอัตโนมัติ และระบบเลือกเส้นทางการส่งสินทรัพย์ด้วย AI ต่างก็ถูกพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้แทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเทคโนโลยี การเป็น “บล็อกเชนที่ค่าธรรมเนียมถูกที่สุด” จึงไม่ใช่คำตอบของผู้ชนะอีกต่อไป แต่ต้องเป็น “บล็อกเชนที่ลื่นไหลจนผู้ใช้ไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้งาน”
มองไปในอนาคต รายงานชี้ว่าการรวมบริดจ์ให้ลื่นไหล การขยายตัวของ ETF ที่เชื่อมโยงกับ ETH และการเติบโตของเกมและโซเชียลแอปแบบ Web3 จะเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด โดยเฉพาะ ‘ไมโครทรานแซกชัน’ จาก NFT และโซเชียลเน็ตเวิร์ก จะกลายเป็นตัวเร่งอุปสงค์สำหรับ L2 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะมุ่งหน้าไปสู่สภาวะที่อีเธอเรียมและ L2 ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อหรือ ‘อีเธอเรียมที่มีความสามารถเชิงการทำงานร่วมกันที่สูงขึ้น’
เม็กซีเวนเจอร์สสรุปว่า อีเธอเรียมได้เปลี่ยนผ่านจาก ‘แนวคิดสู่การพิสูจน์’ มาจนสู่ยุคใหม่ของ ‘การรวมศูนย์และความโปร่งใส’ โดยปัจจัยที่จะกำหนดความสามารถในการครองตลาดจะขึ้นอยู่กับว่า อีเธอเรียมและ Layer 2 สามารถสร้างระบบนิเวศที่ ‘ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ’ ได้มากแค่ไหน
ความคิดเห็น 0