ชางเผิง เจา(CZ) ผู้ร่วมก่อตั้งไบแนนซ์ ประกาศว่าจะ *ไม่เปิดเผยประวัติการซื้อขายคริปโตฯ ส่วนตัวอีกต่อไป* หลังเชื่อว่าตัวเองอาจเป็น ‘สัญญาณขาลงของตลาด’ เนื่องจากทุกครั้งที่เขาซื้อ *ราคาเหรียญจะปรับตัวลดลงตามมา*
เมื่อวันที่ 24 เจาโพสต์ผ่านบัญชี X (เดิมคือ Twitter) ว่าที่ผ่านมาเขามักประสบกับกรณี ‘ซื้อแล้วติดดอย’ โดยเล่าว่าในปี 2014 เขาซื้อบิตคอยน์(BTC) ที่ระดับ 600 ดอลลาร์ (ประมาณ 81,000 บาท) และราคาก็ร่วงลงมาเหลือเพียง 200 ดอลลาร์ (ประมาณ 27,000 บาท) ภายในเดือนเดียว รวมถึงในปี 2017 เขาซื้อไบแนนซ์คอยน์(BNB) ก่อนที่ราคาจะลดลงทันที 20–30%
ล่าสุด เขาเปิดเผยว่าได้ทำการซื้อเหรียญเพิ่มอีกในรอบนี้ และ *ตลาดก็เริ่มมีแนวโน้มปรับฐานอีกครั้ง* โดยแสดงความคิดเห็นในเชิงขำขันว่าเขาอาจเป็น ‘จินซ์ของตลาด’ พร้อมแสดงความกังวลว่า *การเปิดเผยการถือครองของเขาอาจถูกรับรู้เป็นสัญญาณขายของนักลงทุนคนอื่น*
เขาเสริมว่า ในอนาคตจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการซื้อลงทุนส่วนตัวอีกต่อไป โดยจุดยืนนี้สอดคล้องกับท่าทีช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้ทำธุรกรรมใหญ่ ๆ และ *กำลังลดบทบาทในตลาดคริปโตฯ อย่างเห็นได้ชัด*
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในตลาดคริปโตฯ โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะ *ตลาดหมี* ดัชนี ‘ความกลัวและความโลภ’ ของคริปโตอยู่ที่ระดับ 27 ซึ่งสะท้อน *ความกลัว* อย่างชัดเจน โดยมูลค่าตลาดรวมตลอด 24 ชั่วโมงล่าสุดหดตัวลง 3.5% เหลือ 3.46 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4,626 ล้านล้านบาท)
บิตคอยน์(BTC) ร่วง 2.9% มาอยู่ที่ 104,368 ดอลลาร์ (ประมาณ 14.67 ล้านบาท) ขณะที่อีเธอเรียม(ETH), ไบแนนซ์คอยน์(BNB), โซลานา(SOL) และริปเปิล(XRP) ก็ปรับตัวลงเช่นกัน หนึ่งในปัจจัยหลักที่กดดันราคาคือ *การไหลออกของเงินทุนจากกองทุนรวม ETF*
จากรายงานของฟาซาไซด์ อินเวสเตอร์ส พบว่า Bitcoin ETF บันทึกยอดถอนติดต่อกันนานถึง 4 วันตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ขณะที่ Ethereum ETF เสียเงินลงทุนมากถึง 135.7 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,846 ล้านบาท) ภายในวันเดียวเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยที่กองทุน ETHA ของแบล็คร็อกรับภาระใหญ่สุดที่ 81.7 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,112 ล้านบาท)
*ความคิดเห็น*: สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายของบุคคลสำคัญอย่างเจามีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อนักลงทุนจำนวนมาก แม้จะไม่ได้ตั้งใจเคลื่อนไหวราคา แต่แค่การเปิดเผยความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็สามารถจุดกระแสในตลาดได้อย่างน่าทึ่ง
ความคิดเห็น 0