ฮ่องกงเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ เตรียมใช้กรอบ CARF คุมภาษีคริปโตตามมาตรฐาน OECD

รัฐบาลฮ่องกงเริ่มเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเพื่อเตรียมนำระบบ ‘กรอบการรายงานสินทรัพย์คริปโต (CARF)’ มาใช้ ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลด้านภาษีเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีข้ามพรมแดน และแสดงถึงความมุ่งมั่นของฮ่องกงในการส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 9 สำนักเลขาธิการด้านการคลังของฮ่องกงประกาศว่าจะดำเนินการรวบรวมคำแสดงความคิดเห็นจากสาธารณชนเกี่ยวกับแนวทางการบังคับใช้ CARF รวมถึงการปรับปรุงมาตรฐานการรายงานภาษีให้สอดคล้องกับเกณฑ์ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งพัฒนากรอบ CARF ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมคริปโต เช่น แพลตฟอร์มซื้อขายและผู้ให้บริการเกี่ยวข้อง รายงานข้อมูลของลูกค้า ทั้งธุรกรรมและมูลค่าสินทรัพย์ ให้แก่หน่วยงานกำกับดูแลในท้องถิ่น

การดำเนินการครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินที่ฮ่องกงได้เริ่มใช้ร่วมกับประเทศต่างๆ ตั้งแต่ปี 2018 โดยเป็นอีกก้าวหนึ่งในความพยายามของฮ่องกงในการขับเคลื่อนมาตรฐานด้านการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินในระดับโลก

คริสโตเฟอร์ ฮุ่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงบริการและการเงินของฮ่องกงกล่าวว่า “การนำ CARF มาใช้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลฮ่องกงในการส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษีในเวทีสากล และบรรเทาปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีข้ามประเทศ”

ภายใต้แผนนี้ หาก CARF ถูกนำมาใช้จริง บริษัทสินทรัพย์ดิจิทัลในฮ่องกงจะต้องส่งรายงานเกี่ยวกับสัญชาติของลูกค้า ปริมาณสินทรัพย์ที่ถือครอง และรายละเอียดการทำธุรกรรม ตามรูปแบบมาตรฐานสากล ซึ่งอาจถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานภาษีของประเทศต้นทางของลูกค้า

ความคิดเห็น: การประกาศใช้ CARF ไม่เพียงส่งผลต่อโครงสร้างภาษีในฮ่องกง แต่ยังอาจเพิ่มภาระด้านกฎระเบียบสำหรับแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตที่ดำเนินงานอยู่ในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ยังสะท้อนว่าฮ่องกงต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนในฐานะศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสากล

‘CARF’ หรือชื่อเต็มคือ ‘กรอบการรายงานสินทรัพย์คริปโต’ เป็นระบบที่พัฒนาโดย OECD ให้ประเทศสมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษีของผู้ถือสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการบังคับให้ผู้ให้บริการเปิดเผยข้อมูลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสทางการเงิน

แม้ว่าคริปโตเคอร์เรนซีจะขึ้นชื่อเรื่องการกระจายอำนาจและความเป็นส่วนตัว แต่แนวโน้มในระยะหลัง รวมถึงการเคลื่อนไหวของรัฐบาลฮ่องกงในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นถึงทิศทางที่ภาครัฐในหลายประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านภาษีและการฟอกเงินอย่างจริงจัง