บริษัทสตราเทจี(Strategy) หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่ถือครองบิตคอยน์(BTC) มากที่สุดในโลก แสดงจุดยืนคัดค้านอย่างรุนแรงต่อแผนการเปลี่ยนนโยบายของ MSCI บริษัทให้บริการดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ ที่เตรียมตัดบริษัทที่ถือครองคริปโตในสัดส่วนสูงออกจากดัชนีของตน ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาพรวมอุตสาหกรรมคริปโต
เมื่อวันที่ 3 (เวลาท้องถิ่น) สตราเทจีได้ยื่นจดหมายคัดค้านอย่างเป็นทางการถึง MSCI โดยระบุว่าแผนการดังกล่าวถือเป็น ‘การเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม’ ต่อบริษัทในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยประเด็นหลักอยู่ที่ข้อเสนอซึ่งกำหนดให้ *ตัดบริษัทที่มีสินทรัพย์คริปโตมากกว่า 50% จากดัชนี MSCI*
ในจดหมาย สตราเทจีระบุว่าบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่ม *บริษัทการเงินสินทรัพย์ดิจิทัล* ไม่เพียงมีการดำเนินธุรกิจจริงจัง แต่ยังสามารถปรับโครงสร้างการเงินและกลยุทธ์อย่างยืดหยุ่น โดยยกตัวอย่างธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ใช้บิตคอยน์เป็นหลักประกัน เพื่อชี้ว่าคริปโตมิใช่แค่สินทรัพย์เก็งกำไร แต่คือส่วนหนึ่งของ ‘กิจกรรมธุรกิจหลัก’
บริษัทยังชี้ให้เห็นความไม่สมเหตุผลของ MSCI ที่ไม่ได้ใช้เกณฑ์เดียวกันกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์(REITs), บริษัทพลังงาน หรือบริษัทย่อยด้านสื่อ โดยกล่าวว่า *“แม้แต่บริษัทการเงินที่สร้างตราสารอนุพันธ์จากหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์รองรับ เช่น MBS ก็ยังได้รับการรวมในดัชนี”* และระบุว่า MSCI แสดงออกถึงอคติต่อบริษัทที่มีสินทรัพย์เป็นคริปโต
นอกจากนี้ สตราเทจียังกล่าวว่า แผนของ MSCI อาจขัดแย้งกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนในการผลักดันสหรัฐให้เป็นผู้นำระดับโลกด้านคริปโต ล่าสุด ทรัมป์ยังแสดงการสนับสนุนอีลอน มัสก์ให้รับบทบาทที่ปรึกษาคริปโตภาคเอกชน เพื่อสร้าง ‘ความเป็นผู้นำคริปโตของอเมริกา’
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติบางส่วนแสดงความกังวลว่า การรวมบริษัทที่มีโครงสร้างการเงินเน้นคริปโตอาจเพิ่มความผันผวนและองค์ประกอบเชิงเก็งกำไรในดัชนี นักวิเคราะห์บางรายจึงมองว่าแนวทางของ MSCI *สะท้อนมุมมองที่รอบคอบต่อความเสี่ยงของอุตสาหกรรมที่ยังไม่ถูกกำกับอย่างเต็มรูปแบบ*
ประเด็นนี้ถือเป็นมากกว่าเพียงข้อขัดแย้งของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่สะท้อนถึงการต่อสู้ทางกลยุทธ์ระหว่าง *ผู้กำกับดูแล, ผู้ให้บริการดัชนี และภาคธุรกิจคริปโต* ว่าในท้ายที่สุด สินทรัพย์ดิจิทัลควรมีที่ทางอย่างไรในระบบการเงินดั้งเดิม
*ความคิดเห็น:* การตีความท่าทีของ MSCI จะเป็นตัวกำหนดทิศทางเงินทุนสถาบันที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมคริปโตในอนาคต และอาจกลายเป็นแรงกดดันต่อบริษัทอื่น ๆ ให้ต้องเปิดเผยหรือปรับโครงสร้างสินทรัพย์อย่างโปร่งใสมากขึ้น
ความคิดเห็น 0