ผู้กำกับดูแลคริปโตจาก CFTC ย้ายซบ MoonPay จุดกระแสกังวล 'ประตูหมุน' รัฐ-เอกชน

แคโรไลน์ ปาม(Caroline Pham) รักษาการประธานของคณะกรรมการการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าแห่งสหรัฐ(CFTC) เตรียมเข้ารับตำแหน่งใหม่ที่บริษัทฟินเทค มูนเพย์(MoonPay) ในฐานะ ‘หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกิจการภาครัฐ’ โดยมีแผนจะลาออกจาก CFTC เมื่อวุฒิสภารับรองผู้สืบตำแหน่งประธานคนถัดไป

มูนเพย์ประกาศผ่านทาง X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) เมื่อวันพุธว่า ปามจะเข้าร่วมทีมผู้บริหารระดับสูงของบริษัท หลังจากที่เธอใช้เวลาหลายเดือนในตำแหน่งรักษาการประธาน และเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียวในคณะกรรมการช่วงรัฐบาลโจ ไบเดน การตัดสินใจลาออกของเธอเกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอชื่อไบรอัน ควินเทนซ์(Brian Quintenz) เป็นผู้สืบตำแหน่ง แต่กลับถูกถอดชื่อออกจากกระบวนการรับรอง ภายหลังเผชิญการคัดค้านจากพี่น้องวิงเคลวอส(Cameron และ Tyler Winklevoss) ผู้ร่วมก่อตั้งเจมิไน จนในที่สุด ไมเคิล เซลิก(Michael Selig) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ก็ได้รับการเสนอชื่อแทน

ตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง เธอมีบทบาทในการผลักดันนโยบายเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีตามแนวทางของทำเนียบขาว โดยข้อมูลในเดือนกันยายนระบุว่า CFTC ภายใต้การนำของเธอได้บังคับใช้มาตรการด้านกฎหมายน้อยเพียง 18 ครั้ง และไม่มีคดีดำเนินการบังคับใช้เลย นอกจากนี้ เธอยังริเริ่มเวทีหารือกับผู้บริหารในวงการคริปโตเคอร์เรนซีผ่านสองโครงการหลัก ได้แก่ ‘Crypto CEOs Forum’ และ ‘Innovation CEOs Roundtable’ เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับเอกชน

การเปลี่ยนเส้นทางอาชีพของปามกลายเป็นประเด็นในประเด็นเรื่อง *‘การหมุนเวียนตำแหน่ง’* ระหว่างวงการกำกับดูแลและอุตสาหกรรมคริปโต ไม่นานมานี้ ซัมเมอร์ เมอร์ซิงเกอร์(Summer Mersinger) คณะกรรมาธิการ CFTC อีกคนหนึ่งก็เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง CEO ของสมาคมบล็อกเชน(Blockchain Association) เมื่อเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้เกิดเสียงวิจารณ์ถึงความน่าเชื่อถือในกระบวนการกำกับดูแล

เอลิซาเบธ วอร์เรน(Elizabeth Warren) วุฒิสมาชิกสหรัฐ ออกมาวิพากษ์ว่าเจ้าหน้าที่รัฐบางรายมีพฤติกรรม ‘ออดิชัน’ เพื่อย้ายเข้าสู่อุตสาหกรรมคริปโตตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่ง ข้อมูลจากปี 2022 พบว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 200 รายที่เปลี่ยนไปทำงานในบริษัทคริปโต หลังออกจากตำแหน่งแล้วในฐานะที่ปรึกษา กรรมการ ผู้ทำการแนะนำชักชวน หรือทนายความ

*ความคิดเห็น*: การย้ายของผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลสู่บริษัทคริปโตครอบคลุมมากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้จะเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจให้เข้าใจกรอบกฎหมายได้ดีขึ้น แต่ก็อาจกระทบต่อความเป็นกลางของระบบกำกับดูแลในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมีความเสี่ยงที่นโยบายจะถูกออกแบบในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจเฉพาะทาง

การตัดสินใจของปามเน้นย้ำอีกครั้งว่า *‘ความสัมพันธ์’* ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลของวอชิงตันและวงการคริปโตยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงเผชิญการถกเถียงเรื่องความโปร่งใสและความยุติธรรมทางกฎหมาย