ความคาดหวังต่อผลกระทบของ ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ ต่อ ‘ตลาดคริปโต’ กำลังลดลง
ในวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ราคาของ ‘บิตคอยน์(BTC)’ เปิดที่ 69,374 ดอลลาร์ ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 108,786 ดอลลาร์ ในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นวันเข้ารับตำแหน่งของ ‘ทรัมป์’ อย่างไรก็ตาม ตลาดคริปโตกลับเผชิญแรงเทขายอย่างหนักหลังจากนั้น โดยราคาของ ‘บิตคอยน์’ ปรับตัวลดลงเกือบ 26% จนร่วงต่ำกว่าระดับ 80,000 ดอลลาร์ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์
ในช่วงแรกของรัฐบาล ‘ทรัมป์’ มีความพยายามผลักดันนโยบายสนับสนุนคริปโตอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการจัดตั้ง ‘ทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลเชิงกลยุทธ์’ การแต่งตั้งบุคลากรที่สนับสนุนตลาดคริปโต และการปฏิรูปโครงสร้างตลาด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้นโยบายเหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนตลาดในช่วงต้น แต่ความล่าช้าในการดำเนินงานจริงกลับทำให้ความเชื่อมั่นเริ่มลดลง
นอกจากนี้ ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคก็ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สหรัฐฯ แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อการค้าระหว่างประเทศ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มชะลอตัวลง อีกทั้งเหตุการณ์แฮ็กครั้งใหญ่ของ ‘บายบิต(Bybit)’ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 44,000 ล้านบาท) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
‘จัสติน ดาเนตัน’ หัวหน้าฝ่ายขายของ Liquifi มองว่า "ตลาดมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวกไปมากแล้วหลังการชนะเลือกตั้งของ ‘ทรัมป์’ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ซื้อข่าวลือ ขายข่าวจริง’ นอกจากนี้ ความล่าช้าของมาตรการผ่อนปรนกฎระเบียบ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดอยู่ในช่วงปรับฐาน"
อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองเชิงบวกในระยะยาวต่อทิศทางของ ‘ตลาดคริปโต’ ‘เจมส์ แม็คเคย์’ นักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัลกล่าวว่า "หากมองย้อนกลับไป เราจะพบว่าตลาดกระทิงครั้งก่อนหน้านี้มีการปรับฐานลง 30-50% เป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ การที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ(SEC) มีแนวโน้มจะทยอยปรับกฎเกณฑ์ให้เอื้อต่ออุตสาหกรรมมากขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวของตลาดในระยะกลางถึงระยะยาว"
แม้ว่ารัฐบาลของ ‘ทรัมป์’ จะยังมีแผนดำเนินนโยบายสนับสนุนคริปโต ทั้งในเรื่องการสร้าง ‘ทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัล’ และการปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรม แต่ประเด็นทางการเมืองที่ไม่แน่นอน อาจทำให้แผนเหล่านี้เผชิญความล่าช้า นักลงทุนจึงจำเป็นต้องจับตาการออกนโยบายอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินแนวโน้มของตลาดในอนาคต
ความคิดเห็น 0