สหรัฐฯ 20 รัฐกำลังพิจารณากฎหมายสำรองบิตคอยน์(BTC) ซึ่งอาจสร้างความต้องการบิตคอยน์สูงถึง 23,000 ล้านดอลลาร์
แมทธิว ซีเกล หัวหน้าฝ่ายวิจัยของแวนเอ็ก(VanEck) เปิดเผยในการวิเคราะห์ล่าสุดว่า หากกฎหมายสำรองบิตคอยน์มีผลบังคับใช้ รัฐเหล่านี้อาจต้องซื้อบิตคอยน์รวมกันมากถึง 247,000 BTC นอกจากนี้ หากกองทุนบำนาญรวมบิตคอยน์เข้าไปในพอร์ตการลงทุน ความต้องการอาจเพิ่มขึ้นอีก
ซีเกลระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินแบบ 'อนุรักษ์นิยม' และในบางรัฐยังไม่มีการเปิดเผยขนาดการซื้อที่แน่ชัด ซึ่งหมายความว่าความต้องการที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้
แนวคิดการถือครองบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์สำรองกำลังเกิดขึ้นทั้งในระดับรัฐบาลรัฐและรัฐบาลกลาง ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้สั่งให้พิจารณาแนวทางการจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์ และบางฝ่ายคาดว่าแผนดังกล่าวอาจเชื่อมโยงกับแนวคิดการตั้ง 'กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ' ของสหรัฐฯ
ข้อมูลจาก BitcoinTreasuries ระบุว่าปัจจุบันมีบริษัทกว่า 150 แห่งที่ถือครองบิตคอยน์ในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ขณะที่ทรัมป์ เคยหารือเรื่องการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเมื่อเดือนมกราคม ซึ่งเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ อาจถือครองบิตคอยน์โดยตรงในอนาคต
นิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า ทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายขอบเขตของกองทุนดังกล่าวให้ครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ เช่น USDคอยน์(USDC), โซลานา(SOL) และริปเปิล(XRP)
ด้านแพลตฟอร์มคาดการณ์ตลาด คัลชี(Kalshi) ประเมินว่าโอกาสที่ทรัมป์ จะจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์ในปีนี้อยู่ที่ 52% ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าหากรัฐบาลสหรัฐฯ ถือบิตคอยน์ในปริมาณมาก อาจส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตมากกว่าการอนุมัติบิตคอยน์ ETF ที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้
บริษัทการลงทุน คอยน์แชร์ส(CoinShares) ระบุว่า หากกฎหมายสำรองบิตคอยน์มีผลบังคับใช้จริง ผลกระทบจะ 'รุนแรง' ต่อการนำบิตคอยน์เข้าสู่กระแสหลัก ซึ่งอาจมีความสำคัญมากกว่าการรับรอง ETF ในระยะยาว
ความคิดเห็น 0