บิตคอยน์(BTC)แตะ 123,000 ดอลลาร์ ท่ามกลางดอลลาร์อ่อน—นักวิเคราะห์เตือนอาจเป็นฟองสบู่

บิตคอยน์(BTC)ยังคงสร้างสถิติราคาสูงสุดอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม โดยราคาพุ่งขึ้นแตะ 123,000 ดอลลาร์ (ราว 1.71 ล้านบาท) ท่ามกลางความต้องการในตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายรายวันพุ่งทะยาน และราคาซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 117,000 ดอลลาร์ (ราว 1.62 ล้านบาท) พร้อมกันนี้ มูลค่าตลาดตามราคาที่ได้ขายจริงของบิตคอยน์ทะลุระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 1,390 ล้านล้านบาท) ซึ่งสะท้อนมูลค่าที่ถูกสะสมไว้ทั้งหมดในระบบ

อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์ ชิฟ(Peter Schiff) นักลงทุนชื่อดังจากยูโรแปซิฟิกแคปิตอลกลับมองต่าง เขาชี้ว่าการพุ่งขึ้นของราคาบิตคอยน์ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลจากความแข็งแกร่งของบิตคอยน์เอง แต่สะท้อนถึง *ความอ่อนแอของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ* ต่างหาก ความคิดเห็นของเขายังคงโต้แย้งกระแสหลักของตลาดอย่างชัดเจน โดยระบุว่า BTC แทบไม่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรหรือฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึง *การอ่อนค่าของดอลลาร์ในตลาดเงินระหว่างประเทศ*

ปีเตอร์ ชิฟ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ไม่ประสบความเชื่อมั่นต่อคริปโตเคอร์เรนซี ยังเคยกล่าวว่าบิตคอยน์เป็น “ขยะดิจิทัล” และเรียกร้องให้สังครมควรเข้าใจความจริงว่าการปรับตัวขึ้นของบิตคอยน์ไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย

เขายังโจมตีร่างกฎหมายควบคุมสเตเบิลคอยน์ ‘GENIUS’ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาคองเกรสสหรัฐฯ โดยวิจารณ์ว่าเป็นเพียง *การแสดงทางการเมือง* และเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายใหญ่สามารถแปรมูลค่าที่ถือไว้ให้กับสาธารณะในลักษณะที่คล้ายกับการ ‘เทขาย’ หรือ ‘ดัมพ์’ สู่ตลาด

ปีเตอร์ ชิฟยังเปรียบบิตคอยน์ว่าเป็น “แชร์ลูกโซ่ที่สร้างขึ้นบนไพ่” พร้อมย้ำว่าแนวโน้มบวกบางประการ เช่น การอ่อนตัวของดอลลาร์หรือท่าทีผ่อนคลายจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวเท่านั้น

แม้ผู้เชื่อมั่นในบิตคอยน์จำนวนมากมองว่าการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นโอกาสในการลงทุน ทว่าความเห็นของชิฟยังคงเป็นไปในเชิงลบ เขาเตือนว่าคลื่นการลงทุนในคริปโตที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ เป็น *ฟองสบู่ที่ไม่มีความยั่งยืน* และอาจนำไปสู่ความเปราะบางทางเศรษฐกิจในอนาคต

แม้ราคาสูงสุดครั้งใหม่นี้ของบิตคอยน์จะเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของการเติบโต แต่ก็ได้จุดกระแสระลึกถึง *ความเปราะบางเชิงโครงสร้างของระบบเงินดอลลาร์* และ *ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ* ซึ่งยังคงเป็นประเด็นความเสี่ยงที่ตลาดไม่อาจมองข้าม