สหรัฐฯ ออกกฎหมายควบคุมสเตเบิลคอยน์ฉบับแรก หวังคืนตำแหน่งผู้นำคริปโตโลก

สหรัฐฯ เดินหน้าฟื้นความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงินอีกครั้ง หลังสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมาย ‘GENIUS’ ซึ่งถือเป็นกรอบกฎหมายอย่างเป็นทางการฉบับแรกในระดับรัฐบาลกลางเพื่อกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ นับเป็นก้าวแรกสำคัญที่ผลักดันให้สหรัฐฯ มีบทบาทนำในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลอีกครั้ง โดยร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งเกิดจากการเห็นพ้องจากสองพรรคการเมืองนี้ โดดเด่นในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ความมั่นคงของชาติ และเสริมความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก

ก่อนหน้านี้ อุตสาหกรรมคริปโตของสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความไม่ชัดเจนทางกฎหมายที่ยืดเยื้อมานาน โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลของโจ ไบเดน ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งเลือกใช้วิธี ‘ฟ้องร้อง’ แทนการออกกฎหมาย ส่งผลให้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องเสียค่าใช้จ่ายทางกฎหมายจำนวนมหาศาล ความไม่แน่นอนดังกล่าวยังส่งผลให้หลายบริษัทเลือกย้ายฐานไปยังประเทศอื่นที่มีกฎระเบียบชัดเจนกว่า กลายเป็นผลกระทบระยะยาวต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง

ประเทศอย่างญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และสวิตเซอร์แลนด์ ได้ใช้โอกาสนี้สร้างความได้เปรียบ โดยจัดตั้งกรอบกฎหมายและสนับสนุนอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นซึ่งปกติถือว่าเป็นประเทศที่มีท่าทีระมัดระวัง ยังเร่งวางระบบรองรับเพื่อดึงดูดบริษัทด้านคริปโต ในขณะที่สหรัฐฯ ยังไม่สามารถนิยามได้ชัดเจนว่าสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทใดเป็น ‘หลักทรัพย์’ และประเภทใดเป็น ‘สินค้าโภคภัณฑ์’ ความคลุมเครือทางกฎหมายนี้ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ผลักดันนวัตกรรมออกนอกประเทศ

อย่างไรก็ตาม สัญญาณบวกเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อไม่นานมานี้ผ่านทั้งร่างกฎหมาย GENIUS และร่างกฎหมายโครงสร้างตลาด ซึ่งเสนอโดยสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความไม่แน่นอนทางกฎหมาย ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนภายในประเทศ และดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงต่างมองเห็นการเปลี่ยนผ่านนี้ว่าเป็น ‘จุดเปลี่ยนที่แท้จริง’ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ หวนคืนสู่ตำแหน่งศูนย์กลางด้านนวัตกรรมการเงินระดับโลกอีกครั้ง

ความเคลื่อนไหวด้านกฎหมายในปัจจุบันจึงกลายเป็นเดิมพันครั้งสำคัญว่า *ใครจะเป็นผู้นำในยุคของทรัพย์สินดิจิทัล* การปฏิวัติด้านการเงินนี้ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกไปแล้ว และคำถามจึงอยู่ที่ว่า สหรัฐฯ โดยเฉพาะทรัมป์และฝ่ายนิติบัญญัติในสภาคองเกรส จะเลือกเดินไปในทิศทางใด *จะไขว่คว้าโอกาสแห่งนวัตกรรม หรือจะยอมปล่อยให้หลุดมือท่ามกลางความไม่แน่นอน* คือทางเลือกที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ความชัดเจนของจุดยืนจึงมีความสำคัญกว่าที่เคย