คิตาโบ ทุ่ม 800 ล้านเยนลงทุนบิตคอยน์(BTC) หวังฟื้นฐานะการเงิน ขยายธุรกิจคริปโต

บริษัทสิ่งทอ ‘คิตาโบ’ แห่งตลาดหุ้นโตเกียว ประกาศเดินหน้าลงทุนในบิตคอยน์(BTC) อย่างเป็นทางการ โดยเตรียมทยอยซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่ารวม 800 ล้านเยน (ราว 75 ล้านบาท) ผ่านกลยุทธ์ ‘การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน’ หรือ DCA เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา ท่ามกลางการขาดทุนทางการเงินต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 24 ตามเวลาท้องถิ่น คิตาโบเปิดเผยผ่านประกาศอย่างเป็นทางการว่า การถือครองบิตคอยน์ครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกในการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดคริปโตและสินทรัพย์จริง โดยมีเป้าหมายสองประการ ได้แก่การเสริม *ความมั่นคงทางการเงิน* และขยาย *เครือข่ายการชำระเงินระดับโลก*

บริษัทจะนำเงินทุนที่ได้จากการใช้สิทธิซื้อหุ้นใหม่มาใช้ในการจัดซื้อบิตคอยน์ อีกทั้งยังมีแผนขยายบริการไปสู่การปล่อยสินทรัพย์ดิจิทัลให้เช่าหรือใช้ทำธุรกรรมกับพันธมิตรในต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมในอนาคต

ทิศทางของคิตาโบสอดคล้องกับกระแสในญี่ปุ่นที่บริษัทเอกชนเริ่มมองบิตคอยน์ในฐานะ ‘เครื่องมือเชิงกลยุทธ์’ ตัวอย่างเช่น บริษัทเกมข้ามชาติอย่าง ‘เน็กซอน’ ได้เข้าซื้อ BTC จำนวน 1,717 เหรียญ (คิดเป็นมูลค่าราว 2.82 พันล้านบาท) และนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบชำระเงิน

ขณะที่ ‘เมตาแพลนเน็ต’ ซึ่งเคยดำเนินธุรกิจโรงแรม ได้เปลี่ยนโมเดลเป็นบริษัทลงทุนด้านคริปโตโดยเฉพาะ ปัจจุบันถือครองบิตคอยน์มากถึง 16,352 เหรียญ (ประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท) และเป็นหนึ่งใน 10 อันดับบริษัทที่ถือ BTC มากที่สุดในโลก

แม้คิตาโบจะขาดทุนสุทธิสูงถึง 115.6 ล้านเยน (ราว 10 ล้านบาท) ในปีบัญชี 2024 แต่การหันมาใช้กลยุทธ์เน้นสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ อาจเป็นทางออกในการฟื้นฟูสถานะทางการเงิน และเพิ่ม *ประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมข้ามแดน* พร้อมลดความเสี่ยงจากกระแสเงินสดที่หดตัว

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนแนวโน้มของหลายบริษัทญี่ปุ่นที่หันมาเลือก *บิตคอยน์เป็นแหล่งเก็บมูลค่าที่แท้จริง* ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเยนที่อ่อนค่าต่อเนื่อง และ *เงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อยๆ* ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ได้เร่งให้บริษัทในเอเชียหันไปสู่การบริหารจัดการสินทรัพย์แบบกระจายความเสี่ยงมากขึ้น

*ความคิดเห็น:* การตัดสินใจของคิตาโบอาจกลายเป็นแรงกระตุ้นให้บริษัทดั้งเดิมในญี่ปุ่นหันมาพิจารณาการลงทุนในคริปโตอย่างจริงจัง ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกว่า คริปโตกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้