บิตคอยน์(BTC) ร่วง 4% หลังรมว.คลังสหรัฐฯ ยืนยันไม่ซื้อเพิ่ม สะเทือนตลาดคริปโต

ราคาของบิตคอยน์(BTC) ร่วงลงอย่างฉับพลัน หลังจากที่สกอตต์ เบสเซนต์(Scott Bessent) รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ออกมาประกาศยกเลิกแผนการซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติมอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ตลาดคริปโตเกิดความผันผวนทันที โดยราคาบิตคอยน์หลังจากพุ่งแตะจุดสูงสุดใหม่ที่ 124,517 ดอลลาร์ (ประมาณ 17.3 ล้านบาท) ก็ร่วงลงทันทีเหลือเพียง 117,719 ดอลลาร์ (ประมาณ 16.3 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเกือบ 4% ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

คำแถลงของเบสเซนต์ถือเป็นการ ‘ถอยหลัง’ จากท่าทีเดิมที่รัฐบาลสหรัฐฯ เคยชี้ว่ากำลังพิจารณาการสะสมบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ยุทธศาสตร์ เขายืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ขายบิตคอยน์ที่ถืออยู่ในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าจะไม่มีการซื้อเพิ่มในอนาคต ท่าทีดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดคริปโต โดย *ความคิดเห็น* จากหลายฝ่ายมองว่าสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณว่าไม่ต้องการให้คริปโตเคอร์เรนซีถูกมองเป็นสินทรัพย์ยุทธศาสตร์

แรงกดดันในตลาดไม่จำกัดอยู่แค่บิตคอยน์ โดยเหรียญอื่นๆ เช่น ริปเปิล(XRP) และอัลท์คอยน์หลายตัวต่างก็เข้าสู่ช่วงขาลงตามกัน โดย XRP เคยหลุดระดับแนวรับทางจิตวิทยาที่ 3 ดอลลาร์ (ประมาณ 4,170 บาท) ลงไปในช่วงสั้นๆ ตามข้อมูลจาก CoinGlass พบว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีการถูกชำระบัญชีในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.39 แสนล้านบาท) ซึ่งในจำนวนนั้นมากถึง 778 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.08 แสนล้านบาท) เป็นคำสั่งซื้อ (long positions)

นอกจากนี้ ตลาดพยากรณ์อย่างโพลีมาร์เก็ต (Polymarket) ก็สะท้อนความเชื่อมั่นที่ลดลงเช่นกัน โดยความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะประกาศสะสมบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ยุทธศาสตร์ภายในปีนี้ ลดต่ำลงเหลือเพียง 16% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความวิตกของนักลงทุน และอาจจำกัดการไหลเข้าของเงินทุนสถาบันในอนาคต

อย่างไรก็ดี เบสเซนต์เปิดเผยว่าปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ ถือครองบิตคอยน์มากถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.78 ล้านล้านบาท) ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในโลก โดยมีจีนและอังกฤษตามมาเป็นอันดับถัดไป สิ่งที่น่าสนใจคือ อังกฤษก็กำลังพิจารณานำบิตคอยน์บางส่วนออกมาขายเพื่อชดเชยงบประมาณเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานชัดเจนว่าตลาดคริปโตมีความไวต่อข่าวสารด้านนโยบายของภาครัฐ โดยเฉพาะในบริบทที่ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างเบสเซนต์กลับมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความไม่แน่นอนของนโยบายไปอีกขั้น