ไมโครสตราเทจี(MSTR) ออกหุ้นกู้แปลงสภาพ 2 พันล้านดอลลาร์ เดินหน้าซื้อบิตคอยน์(BTC)

ไมโครสตราเทจี(MSTR) เตรียมออก ‘หุ้นกู้แปลงสภาพ’ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนบิตคอยน์(BTC)

ไมโครสตราเทจี(MSTR) ประกาศแผนออก ‘หุ้นกู้แปลงสภาพ’ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายการลงทุนในบิตคอยน์(BTC) โดยหุ้นกู้นี้จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2030 และไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย โดยนักลงทุนสามารถเลือกแปลงเป็นเงินสดหรือเป็นหุ้นคลาส A ของไมโครสตราเทจีได้

จากจำนวนเงินที่ระดมทุนได้ บริษัทตั้งใจใช้ 1.9 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อบิตคอยน์และสนับสนุนการดำเนินงาน ส่งผลให้หุ้นของไมโครสตราเทจีเพิ่มขึ้นถึง 372% ในช่วงปีที่ผ่านมา และกลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีผลตอบแทนสูงสุดในตลาดสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การระดมทุนครั้งนี้ก็สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนบางส่วน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอย่าง เจสัน คาลาคานิส(Jason Calacanis) ตั้งข้อสังเกตว่า มูลค่าของบริษัทอาจถูกประเมินสูงเกินจริงเมื่อพิจารณาจากจำนวนบิตคอยน์ที่ถือครอง นอกจากนี้ นักลงทุนทั่วไปไม่สามารถควบคุมหรือมีสิทธิ์โดยตรงต่อสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้ ทำให้มีความเสี่ยงในระยะยาว

คาลาคานิสยังวิจารณ์ว่า ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ซีอีโอของไมโครสตราเทจี กำลัง ‘ประเมินบิตคอยน์สูงเกินไป’ และมักพลาดโอกาสในการเข้าซื้อตลาดในเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ปฏิเสธว่าหุ้นของไมโครสตราเทจี อาจยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าหุ้นพุ่งขึ้นถึง 352% ในช่วงปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะลดลง 30% จากจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก็ตาม

แผนการระดมทุนของไมโครสตราเทจีเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาว โดยบริษัทมีแผนเพิ่มทุนรวม 21 พันล้านดอลลาร์ในอีกสามปีข้างหน้า ผ่านการออกหุ้น หุ้นกู้ และหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ อย่างไรก็ตาม หากสภาวะตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ แผนอาจต้องมีการปรับเปลี่ยน

ขณะที่นักลงทุนสถาบันเริ่มให้ความสนใจ ไมโครสตราเทจียังต้องเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับ ‘ความยั่งยืน’ ของกลยุทธ์นี้ บริษัทได้จัดงานสัมมนาเพื่ออธิบายแผนการลงทุนของตน แต่ความกังวลเรื่องหนี้สินจำนวนมหาศาลและความเสี่ยงด้านสภาพคล่องยังเป็นประเด็นถกเถียงในหมู่นักลงทุน

ไมเคิล เซย์เลอร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งใน ‘Bitcoin Maximalist’ ที่มีชื่อเสียง กำลังเผชิญกับความท้าทายในการพิสูจน์ว่ากลยุทธ์การลงทุนในบิตคอยน์ของเขาจะสามารถสร้างผลกำไรในระยะยาวได้หรือไม่ โดยตลาดยังคงจับตามองอย่างใกล้ชิด