อดีตผู้บริหารริปเปิลเผย โครงการ CBDC หนุนพัฒนา XRP เลเจอร์(XRPL) รับการเติบโตตลาดสเตเบิลคอยน์

อดีตผู้บริหารของริปเปิล(XRP) ออกมาเล่าถึงผลกระทบของโครงการทดลองเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง(CBDC) ที่มีต่อระบบบัญชีแยกประเภทของ XRP หรือ XRP เลเจอร์(XRPL) โดยย้ำว่า โครงการ CBDC ที่ริปเปิลเข้าร่วมตั้งแต่ปี 2021 ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีให้กับ XRPL ได้อย่างมีนัยสำคัญ

แอนโทนี เวลแฟร์(Anthony Welfare) อดีตผู้บริหารของริปเปิล เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือทวิตเตอร์) ว่า “หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจข้อกำหนดของธนาคารกลางและบทบาทของธนาคารพาณิชย์ในการพัฒนา CBDC ซึ่งประสบการณ์นี้ผลักดันให้ ‘สเตเบิลคอยน์’ กลายมาเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของ XRPL” พร้อมเสริมว่า RDF นี้ยังทำให้สามารถเตรียมรับมือกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดสเตเบิลคอยน์ในปัจจุบัน

ริปเปิลเริ่มทดลอง CBDC ร่วมกับองค์การเงินตราราชวงศ์ภูฏาน(RMA) และรัฐบาลปาเลาในปี 2021 ก่อนจะขยายความร่วมมือกับธนาคารกลางมอนเตเนโกรและโคลอมเบีย และในปี 2023 บริษัทได้เปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับ CBDC โดยเฉพาะบน XRP เลเจอร์ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดศักยภาพด้านการให้บริการเงินดิจิทัลระดับองค์กรอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ริปเปิลได้ถอดข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ CBDC ออกจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของตน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเกี่ยวข้องกับกระแสต่อต้าน CBDC ที่กำลังเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ

แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เวลแฟร์ยืนยันว่าสิ่งที่เรียนรู้จากโครงการ CBDC ยังมีคุณค่าและช่วยให้ ‘ชุมชน XRPL และพันธมิตรสามารถปรับตัวเข้าสู่อนาคต’ ได้ พร้อมเน้นย้ำว่า “การเชื่อมโยงกันของ CBDC, สเตเบิลคอยน์ และเงินฝากแบบโทเคนคือกุญแจของการปฏิวัติระบบการเงิน” — *ความคิดเห็น*

ในเดือนธันวาคม 2024 ริปเปิลเปิดตัวสเตเบิลคอยน์สำหรับสถาบันการเงินชื่อว่า ‘ริปเปิล USD(RLUSD)’ บนทั้งแพลตฟอร์ม XRP เลเจอร์และอีเธอเรียม(ETH) ท่ามกลางแนวโน้มความต้องการสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น การเคลื่อนไหวนี้ส่งสัญญาณว่าแม้ริปเปิลจะลดบทบาทในแนวทาง CBDC แต่บริษัทก็ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักในด้าน ‘สเตเบิลคอยน์และการประยุกต์ใช้สินทรัพย์ดิจิทัล’ ต่อไปอย่างแข็งขัน

แม้โครงการ CBDC สิ้นสุดลง ระบบ XRP เลเจอร์ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่ได้จากโครงการในอดีต โดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ทิศทางของริปเปิลครั้งนี้จะช่วยเสริมบทบาทของบล็อกเชนในฐานะ ‘สะพานเชื่อม’ ระหว่างการเงินแบบดั้งเดิมกับโลกเว็บ3 ได้มากยิ่งขึ้น