CoinEasy ชี้พอร์ต 60/40 เสื่อมมนต์ขลัง ดันบิตคอยน์(BTC) ขึ้นแท่นสินทรัพย์หลักยุคการเงินเปราะบาง

ตลาดการเงินทั่วโลกในปี 2025 เริ่มแสดงสัญญาณของ ‘ความเปราะบางเชิงระบบ’ อย่างชัดเจน จากรายงานของ *โคอินอีซี(CoinEasy)* เมื่อวันที่ 24 พบว่า กลยุทธ์พอร์ตการลงทุนแบบดั้งเดิม 60/40 ซึ่งเคยเป็นเสาหลักของการจัดสรรสินทรัพย์ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา อาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ภายใต้แรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อที่พุ่งสูง และภาระหนี้ที่รุนแรงขึ้น ความเชื่อมั่นต่อ *บิตคอยน์(BTC)* ในฐานะโมเดลสินทรัพย์ใหม่จึงเริ่มทวีความชัดเจนมากขึ้น

พอร์ต 60/40 ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% เคยเป็นสูตรที่ให้ทั้งผลตอบแทนที่มั่นคงและการกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หลังผ่านช่วงกลางทศวรรษ 2020 สูตรนี้เริ่มถูกสั่นคลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเริ่มสูญเสียทั้งผลตอบแทนในแง่ของมูลค่าแท้จริงและบทบาทในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากการวิเคราะห์ของโคอินอีซี สถานการณ์นี้อาจถึงขั้นต้อง ‘นิยามใหม่’ ต่อคำว่าสินทรัพย์ปลอดภัย

ปัญหาด้านโครงสร้างที่สำคัญที่สุด คือ ภาระหนี้ภาครัฐที่ขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัด โดยในไตรมาสแรกของปี 2025 หนี้ทั่วโลกแตะระดับ 324 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สหรัฐมีต้นทุนดอกเบี้ยพุ่งทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี สูงกว่างบประมาณกลาโหมและเมดิแคร์รวมกัน สถานการณ์นี้ทำให้นโยบายดอกเบี้ยต่ำไม่ใช่เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่กลายเป็นความจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดหนี้ ซึ่งส่งผลให้ธนาคารกลางสูญเสียความเป็นอิสระและเงินเฟ้อถูกมองว่าเป็น ‘ภาษีลับ’ ต่อความมั่งคั่ง – คำที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เองยังใช้ในรายงานล่าสุด

ค่าเงินในระบบ *เงินเฟียต* เช่น ดอลลาร์ ก็อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการพิมพ์เงินจำนวนมากไม่ใช่แค่การลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเท่านั้น แต่กลายเป็นกลไกหลักในการค้ำยันทั้งระบบ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในแดนลบ นักลงทุนสถาบันจำนวนมากจึงเริ่มหันมามองหาทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นแต่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง *บิตคอยน์*

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมาของ *ETF บิตคอยน์แบบสปอต* ซึ่งเปิดทางให้นักลงทุนสถาบันเข้าสู่ตลาดคริปโตแบบถูกกฎหมายและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ETF ชนิดนี้ช่วยแก้ปัญหาด้านกฎระเบียบ, กระบวนการอนุมัติภายในองค์กร และความเสี่ยงด้านชื่อเสียง ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ IBIT ของ *แบล็คร็อก* ซึ่งกลายเป็น ETF ที่เติบโตเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์หลังเปิดตัว และเป็นสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในความต้องการของตลาด โคอินอีซีจึงประเมินว่านี่คือจุดเปลี่ยนของภูมิทัศน์การลงทุน

แม้จะถูกขนานนามว่า ‘ทองคำดิจิทัล’ แต่ *บิตคอยน์* นั้นมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่ามาก ด้วยจำนวนที่จำกัดไว้เพียง 21 ล้านเหรียญ โครงสร้างแบบ *ไร้ศูนย์กลาง* (Decentralized) และระบบที่สามารถทำธุรกรรมได้ 24 ชั่วโมงทั่วโลก คุณสมบัติเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงฟีเจอร์เชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทของบิตคอยน์ในฐานะ ‘สินทรัพย์ไม่สมมาตร’ ที่ช่วยกระจายพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพในตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูง

การเพิ่ม *บิตคอยน์* เข้าไปในพอร์ตแบบ 60/40 แม้เพียง 1-5% ก็ช่วยยกระดับอัตราส่วนชาร์ป(Sharpe Ratio), ลดความสัมพันธ์กับสินทรัพย์เดิม และเพิ่มศักยภาพในการเติบโตในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนมืออาชีพต้องการทั้งในแง่ผลตอบแทนและความปลอดภัย

สำหรับนักลงทุนสถาบันยุคใหม่ *บิตคอยน์* ไม่ใช่สินทรัพย์เพื่อเก็งกำไรระยะสั้นอีกต่อไป แต่คือเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ, ตัวเลือกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเป็นกลยุทธ์การลงทุนล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวสู่ระบบการเงินยุคใหม่

ตามการประเมินของโคอินอีซี บิตคอยน์เปรียบเสมือนคำตอบที่ *หลีกเลี่ยงไม่ได้* ท่ามกลางการสั่นคลอนของระบบการเงินดั้งเดิม ไม่ใช่แค่ทางเลือกชั่วคราว แต่คือโครงสร้างใหม่ของระบบที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างจริงจัง คำถามของนักลงทุนในวันนี้ จึงไม่ใช่ “จะซื้อบิตคอยน์ดีไหม” แต่คือ “ควรเริ่มเมื่อไหร่ แบ่งสัดส่วนเท่าไหร่ และควรเตรียมพร้อมอย่างไร”... ซึ่งในกระแสเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย บิตคอยน์ได้เข้ามายืนอยู่ ณ แกนกลางของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างเด่นชัด.