สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดตลาดโทเคนทรัพย์สินจริง (RWA) โตแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2028

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดการณ์ว่า *ตลาดการโทเคนทรัพย์สินจริง (Real-World Asset: RWA)* อาจขยายตัวแตะระดับ ‘2 ล้านล้านดอลลาร์’ ภายในปี 2028 ซึ่งเติบโตขึ้นกว่า *57 เท่า* จากระดับปัจจุบันที่ราว 35,000 ล้านดอลลาร์ การประเมินนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการเคลื่อนย้ายของ *ระบบเงินทุนและการชำระเงิน* ไปสู่เครือข่ายแบบ ‘บล็อกเชน’ ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิม

ตามรายงานล่าสุดจากทางธนาคาร สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด วิเคราะห์ว่า จุดแข็งของ *การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi)* อย่างโครงสร้างที่ไม่ต้องพึ่งพาความไว้วางใจ อาจส่งผลกระทบต่ออิทธิพลของ *ระบบการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi)* ในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ

จากรายงานฉบับเดียวกัน ธนาคารคาดว่าตลาด RWA ที่ไม่ได้อิงกับ *สเตเบิลคอยน์* จะสามารถเติบโตจนมีมูลค่ารวม 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 โดยเม็ดเงินจำนวน 750,000 ล้านดอลลาร์จะไหลเข้าสู่ *กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund)* อีก 750,000 ล้านดอลลาร์จะอยู่ในรูปแบบ *โทเคนหุ้นสหรัฐฯ* ขณะที่ส่วนที่เหลืออีก 250,000 ล้านดอลลาร์คาดว่าจะถูกจัดสรรไปสู่ *กองทุนสหรัฐฯ*, *สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ* เช่น หุ้นนอกตลาด (Private Equity), สินค้าโภคภัณฑ์, พันธบัตรองค์กร และอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบโทเคน

เจฟฟ์ เคนดริก(Geoff Kendrick) ผู้บริหารฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวไว้ในรายงานว่า *“ตลาด RWA กำลังเข้าสู่ช่วงเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า”* พร้อมเสริมว่า *“เงื่อนไขสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตนี้ คือ สภาพคล่องของสเตเบิลคอยน์ และเงินฝากในระบบ DeFi”*

ทั้งนี้แม้ว่าธุรกรรม RWA ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะอิงกับสเตเบิลคอยน์เป็นหลัก แต่สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดให้ความเห็นว่า *ตลาด RWA ที่ไม่พึ่งพาสเตเบิลคอยน์* กำลังแสดงศักยภาพในการขยายตัวอย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองที่ว่า ‘บล็อกเชน’ อาจกลายเป็น *แพลตฟอร์มมาตรฐานใหม่ของระบบการเงินจริง*

*ความเห็น:* การโทเคนทรัพย์สินจริง ถือเป็นหนึ่งในกลไกที่มีพลังสูงสุดในการผลักดันให้คริปโตเคอร์เรนซีสามารถเข้ามาแทนที่ระบบการเงินแบบเดิม โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เริ่มเดินหน้าการออก ‘โทเคนหลักทรัพย์ (Security Token)’ อย่างจริงจัง และสถาบันยักษ์ใหญ่อย่างแบล็กร็อกกำลังกระโจนเข้าร่วมตลาดนี้อย่างรวดเร็ว การเติบโตของ RWA ถึงระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ อาจถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยน ที่ช่วยเร่ง ‘การออกกฎหมายและการยอมรับในระบบสถาบัน’ ให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลในวงกว้าง