ยูนิสวอป(UNI) เตรียมเผาโทเคนเดือนละ 38 ล้านดอลลาร์ ดันราคาพุ่ง 25%

ยูนิสวอป(UNI) เดินหน้าปรับโครงสร้างระบบค่าธรรมเนียมและประกาศแผน *เผาโทเคน* ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เปิดตัว โดยหากแผนงานนี้ได้รับการอนุมัติ คาดว่าจะมีการเผาโทเคน UNI มูลค่าประมาณ 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือราว 504.6 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเสริมสร้างโทเคโนมิกส์ของโปรโตคอลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 24 ยูนิสวอปลาบส์(Uniswap Labs) บริษัทผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาโปรโตคอลยูนิสวอป ได้เสนอแนวทางการนำค่าธรรมเนียมบางส่วนจากผู้ให้บริการสภาพคล่อง (LP) มาใช้ซื้อคืน UNI และ *ทำการเผา* เป็นประจำ โดยสัดส่วนค่าธรรมเนียมปัจจุบันอยู่ที่ 0.3% ซึ่งในจำนวนนี้ 0.25% จะยังคงจ่ายให้กับ LP ส่วนอีก 0.05% จะนำมาใช้ในการซื้อคืนและเผาโทเคน UNI เพื่อเป็นการลดอุปทานตามการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง *ความคิดเห็น* ของทีมพัฒนาเชื่อว่าวิธีนี้จะเสริมให้เกิดความหายากและผลักดันราคาของ UNI ในระยะยาว

โครงการเมกาอีทีเอช(MegaETH) แพลตฟอร์มด้านโซลูชันขยายบน EVM วิเคราะห์ว่าหากโครงสร้างใหม่นี้มีผลจริง ยูนิสวอปจะสามารถเผาโทเคน UNI เฉลี่ยวันละราว 1.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16.8 ล้านบาท) ซึ่งรวมรายเดือนจะพุ่งแตะถึง 38 ล้านดอลลาร์ ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยูนิสวอปกลายเป็นหนึ่งในโปรโตคอลที่มีแผนเผาโทเคนใหญ่ที่สุด เป็นรองเพียงไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid) ที่มีมูลค่าการเผาโทเคนที่ระดับ 95 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ยูนิสวอปลาบส์ยังมีแผนเสริมด้วยการนำ UNI โทเคนกว่า 100 ล้านเหรียญจากคลังทุนสำรอง และส่วนค่าธรรมเนียมที่ได้จากซีเควนเซอร์ของยูนิเชน(Unichain) มาเข้าร่วมในแผนเผาโทเคนดังกล่าว ขณะเดียวกันก็มีการเตรียมเปิดระบบ ‘การประมูลเพื่อรับส่วนลดค่าธรรมเนียม’ ภายในแพลตฟอร์ม รวมถึงฟีเจอร์ใหม่สำหรับ *เพิ่มการส่งมอบคุณค่าให้ผู้ใช้งาน* เช่น การนำ MEV (Maximal Extractable Value) มาภายในโปรโตคอล และการปรับปรุง Aggregator Hooks บนยูนิสวอป v4

ตลาดตอบรับแผนงานนี้อย่างคึกคัก โดยหลังข่าวถูกเผยแพร่ ราคาของ UNI พุ่งขึ้นกว่า 25% ภายในวันเดียว และทะลุระดับ 10 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดในรอบกลางเทอม ความเคลื่อนไหวนี้ยังสะท้อนแนวโน้มการแข่งขันด้าน *Buyback หรือการซื้อคืนโทเคน* ที่หลายโปรเจกต์คริปโตกำลังเข้าแข่งขันกันอย่างดุเดือด

วงการคริปโตกำลังจับตาดูว่า ยูนิสวอปจะสามารถกลายเป็นต้นแบบของโมเดลที่เพิ่มมูลค่าภายในเหรียญ และกลับคืนผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจให้ผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริงหรือไม่