tBTC พลิกเกมบิตคอยน์(BTC) บนดีไฟน์ สู่โครงสร้างบริดจ์ไร้ศูนย์กลางตัวแรก

tBTC กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในระบบนิเวศของคริปโตที่มุ่งเน้น *การขจัดความเสี่ยงจากการดูแลทรัพย์สินแบบรวมศูนย์* และขยายการใช้งานแบบออนเชน โดยรายงานล่าสุดจากอเลอา รีเสิร์ช(Alea Research) ระบุว่า tBTC ซึ่งพัฒนาโดยเครือข่าย Threshold Network ได้ช่วยลดอุปสรรคในการนำบิตคอยน์(BTC) เข้าสู่โลกดีไฟน์อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยโครงสร้างที่รองรับทั้งนักลงทุนรายใหญ่และนักเก็งกำไรระดับบุคคล

ปัจจุบันมี BTC กว่า 800,000 เหรียญถูกถือครองผ่าน ETF โดยส่วนใหญ่ยังจำกัดการใช้งานไว้ที่ *การเปิดรับราคาผ่านรูปแบบพาสซีฟ* ซึ่งไม่ได้สร้างผลตอบแทนอย่างแท้จริง การเข้าถึงดีไฟน์จึงยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด โดยรายงานชี้ว่า tBTC มีความโดดเด่นด้วยการมิ้นท์โดยไม่เสียค่าก๊าซ พร้อมทั้งการแลกคืน BTC ไปยังเมนเน็ตได้โดยตรง และรองรับการแจกจ่ายข้ามเชนได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยให้ทุกธุรกรรมเกิดขึ้นแบบตรวจสอบได้และไม่มีการไว้วางใจบุคคลที่สาม

ต่างจากแบบจำลองเดิมอย่าง wBTC ของบิตโก(BitGo) หรือ cbBTC ของคอยน์เบส(Coinbase) ที่อ้างอิงโทเคนผ่านผู้ดูแลศูนย์กลาง tBTC ใช้ชุด 'ผู้ลงนาม' ที่สุ่มเลือกจากผู้ดำเนินการกว่า 100 ราย โดยต้องมีผู้ลงนามอย่างน้อย 51 รายเพื่ออนุมัติการโอน ทำให้เกิดความมั่นใจในด้านความปลอดภัยและการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง

tBTC ยังรองรับมากกว่า 12 เครือข่ายบล็อกเชน เช่น อีเธอเรียม(ETH), โซลานา(SOL), ซุย(Sui), อาร์บิทรัม(Arbitrum) และสตาร์กเน็ต(Starknet) โดยได้เชื่อมต่อกับโปรโตคอลชั้นนำอย่างเอฟว์(Aave), เคิร์ฟ(Curve) และเพนเดิล(Pendle) ซึ่งช่วยให้การดำเนินกลยุทธ์ทางการเงิน อย่างการจับกำไร, เสริมสภาพคล่อง, หรือการใช้เป็นหลักประกัน เป็นไปได้อย่างราบรื่น

หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญคือความสามารถในการ *มิ้นท์ tBTC ผ่านการส่งเพียงธุรกรรมเดียว* จากผู้ใช้งานได้ทันทีสู่ดีไฟน์ ซึ่งอเลอา รีเสิร์ชเผยว่า ในบางกรณีมีการนำฝากมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง พร้อมทั้งสร้างผลตอบแทนถึงระดับสองหลักในแบบเรียลไทม์ แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าของโครงสร้างนี้

ด้านค่าธรรมเนียม tBTC ยังได้เปรียบเหนือผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิม โดยไม่เรียกเก็บค่ามิ้นท์ และเก็บเพียง 0.2% สำหรับการแลกคืน ทั้งยังโอน BTC แบบเนทีฟออกจากระบบได้ทันที ช่วยเปิดทางสู่การทำธุรกรรมแบบตรวจสอบได้ อันเป็นรากฐานของโปร่งใสและประสิทธิภาพในระบบออนเชน

ในภาพรวมของตลาด wBTC มีสัดส่วนประมาณ 33% และ cbBTC 20% ขณะที่ tBTC กำลังก้าวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมี *ข้อได้เปรียบด้านโครงสร้างที่ไร้ความจำเป็นต้องเชื่อใจตัวกลาง* และรองรับการเชื่อมต่อข้ามระบบ ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะเข้ามาแทนที่โมเดลรวมศูนย์ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายถัดไปของ Threshold คือการรักษาสมดุลระหว่าง *ความเร็วในการขยายตัว* และ *ประสิทธิภาพการดำเนินงาน* โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องรองรับการใช้งานจากสถาบันที่ไม่ต้องการผ่านกระบวนการ KYC รายงานชี้ว่า tBTC เป็นโซลูชันเดียวที่สามารถตอบสนองโจทย์เหล่านี้ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งหมายความว่าการเติบโตของ tBTC อาจเปิดทางให้ BTC จาก ETF, บริษัทใหญ่ หรือแม้แต่องค์กรของรัฐ เข้ามาใช้เป็น *หลักประกันบนออนเชน*

ท้ายที่สุด tBTC ไม่เพียงเป็น BTC เวอร์ชันแรปป์ หากแต่ทำหน้าที่เป็น *“โครงสร้างพื้นฐานแบบบริดจ์ที่ไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ”* ซึ่งช่วยให้ทุนขนาดใหญ่ที่ปกติถูกจัดเก็บแบบนิ่ง สามารถเคลื่อนไหวและสร้างมูลค่าในโลกดีไฟน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนผ่านจาก 'บิตคอยน์แบบถือเฉยๆ' สู่ 'บิตคอยน์ที่ใช้งานได้จริง' อาจจะขึ้นอยู่กับ tBTC และโครงสร้างแบบครอสเชนของมันโดยตรง