จำนวนคดี SEC ลดลง 30% สะท้อนท่าทีประนีประนอมต่อคริปโตภายใต้ผู้นำใหม่

จำนวนคดีบังคับใช้กฎหมายของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ลดลงราว 30% ภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวทางเชิงนโยบาย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบของอุตสาหกรรมคริปโตในอนาคต

บริษัทที่ปรึกษาอย่างคอร์เนอร์สโตนรีเสิร์ชเปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ในปีงบประมาณ 2025 คดี ‘การบังคับใช้กฎหมาย’ ที่ SEC ดำเนินการกับบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐและบริษัทย่อยลดลงจากปีก่อนประมาณ *30%* ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มงวดที่ลดลงนับตั้งแต่พอล แอตกินส์( Paul Atkins) เข้ารับตำแหน่งประธาน SEC

คอร์เนอร์สโตนระบุในรายงานว่า “แนวโน้มที่ลดลงนี้สอดคล้องกับรูปแบบที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้นำของ SEC” และยังชี้ว่ามี ‘ความแตกต่างอย่างชัดเจน’ เมื่อเทียบกับยุคของแกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งก่อนหน้านี้ โดยอธิบายว่า แนวทางนโยบายมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงทันทีที่มีการเปลี่ยนคณะผู้บริหาร

ในยุคของเกนส์เลอร์ SEC เคยเดินหน้านโยบายเชิงรุกกับโครงการคริปโตต่าง ๆ โดยเฉพาะการดำเนินคดีในข้อหาเสนอขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน ขณะที่ในช่วงหลัง จำนวนคดีที่ฟ้องร้องโครงการหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งศาลยังมีแนวโน้มตัดสินคดีให้ไม่เป็นไปตามคำร้องของ SEC ซึ่งสะท้อนว่า *ท่าทีในปัจจุบันอาจเป็นไปในแนวทางที่ประนีประนอมมากขึ้น* เห็นได้จากแนวโน้มที่ลดลงของมาตรการกำกับดูแล

อย่างไรก็ตาม คอร์เนอร์สโตนเตือนว่า การลดลงของคดีหรือความถี่ของการดำเนินการทางกฎหมายนั้น ไม่อาจแปลได้ว่าเป็นการผ่อนคลายนโยบายอย่างถาวร โดย SEC ยังคงมีศักยภาพในการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในบางประเด็น และจากที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นในปี 2024 สถานการณ์อาจพลิกกลับได้อีกครั้ง *ความไม่แน่นอนด้านนโยบายจึงยังคงอยู่ในระดับสูง*

*ความคิดเห็น:* จำนวนการบังคับใช้กฎหมายของ SEC ที่ลดลงอาจช่วยคลายแรงกดดันต่อตลาดคริปโตในระยะสั้น แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าโครงสร้างกฎระเบียบได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากแนวนโยบายของ SEC มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลและกระแสสังคมอย่างมาก

*คำสำคัญ:* SEC, บังคับใช้กฎหมาย, เกนส์เลอร์, พอล แอตกินส์, คริปโต, กฎระเบียบ

*ความคิดเห็นเพิ่มเติม:* นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์นโยบายอย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินความเสี่ยงด้านกฎระเบียบอย่างต่อเนื่อง เพราะแม้แรงกดดันจะลดลง แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ โดยเฉพาะในบริบทของการเมืองสหรัฐที่กำลังเปลี่ยนผ่าน