บิตคอยน์(BTC) เด้งแตะ 88,000 ดอลลาร์ นักลงทุนลุ้นฝ่าแนวต้าน 92,000 ดอลลาร์

ราคาของบิตคอยน์(BTC) เมื่อวันที่ 24 พุ่งขึ้น 3% และแตะระดับ 88,000 ดอลลาร์ในบางช่วง ก่อนที่จะสูญเสียโมเมนตัมและปรับตัวลงอีกครั้ง ท่ามกลางความผันผวนนี้ นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าบิตคอยน์จะสามารถทะลุแนวต้านที่ 92,000 ดอลลาร์ได้หรือไม่

การปรับตัวขึ้นของบิตคอยน์ในช่วงนี้มีปัจจัยหลักจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่ดีขึ้นและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง ดัชนี S&P500 ฟิวเจอร์ส เมื่อวันที่ 24 ขยับขึ้น 1.5% สะท้อนถึงบรรยากาศเชิงบวกในตลาดการเงิน

อีกปัจจัยที่มีผลบวกคือ การเข้าซื้อบิตคอยน์เพิ่มขึ้นจากบริษัทหลัก ๆ เช่น สเตรตีจิก อินเวสเมนต์ ที่เพิ่งประกาศซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีก 584 ล้านดอลลาร์ ทำให้ปัจจุบันถือครองอยู่ที่ 506,137 BTC อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หากบริษัทเหล่านี้หยุดการเข้าซื้อหรือประสบปัญหาด้านเงินทุน ตลาดอาจเจอแรงเทขายตามมา

แม้ว่าบิตคอยน์จะได้รับปัจจัยบวก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ตลาดต้องจับตามอง ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเตือนว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลง และมีความเป็นไปได้ที่หุ้นในอุตสาหกรรม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจถูกประเมินมูลค่าสูงเกินจริง จนอาจเกิดการปรับฐานรุนแรง นอกจากนี้ มาตรการลดการใช้จ่ายภาครัฐอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์

อีกหนึ่งปัจจัยที่ตลาดกำลังจับตาคือความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะลดภาษีศุลกากรในบางรายการ เดิมที ทรัมป์วางแผนจะใช้มาตรการภาษีใหม่ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน แต่รายงานล่าสุดระบุว่าอาจมีการเลื่อนหรือยกเว้นสำหรับบางประเทศ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง อาจช่วยลดกระแสความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ และสร้างแรงหนุนให้ตลาดหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัล

สำหรับบิตคอยน์ การจะทะลุแนวต้านที่ 92,000 ดอลลาร์ได้ อาจต้องพึ่งสภาพเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยและการไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่กองทุน ETF ของบิตคอยน์ยังคงแข็งแกร่ง สถิติล่าสุดระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 14 ถึง 21 มีนาคม มีเงินทุนไหลเข้าสู่ ETF บิตคอยน์ถึง 786 ล้านดอลลาร์

สุดท้ายแล้ว ราคา BTC ในระยะสั้นจะสามารถกลับไปแตะระดับ 92,000 ดอลลาร์ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจและกระแสเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนจึงต้องติดตามการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ และแนวทางด้านภาษีของทรัมป์เพื่อประเมินทิศทางของตลาดในช่วงถัดไป