ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
คาดการณ์ว่า ปริมาณสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกอาจพุ่งแตะ ‘1 ล้านล้านดอลลาร์’ ภายในปี 2025 ซึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งใน ‘แรงขับเคลื่อนสำคัญ’ สู่รอบขาขึ้นถัดไปของตลาดคริปโต โดยความคิดเห็นดังกล่าวมาจาก เดวิด พัคแมน หุ้นส่วนผู้จัดการของบริษัทการลงทุน โคอินฟันด์(CoinFund)
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ในรายการถ่ายทอดสดของ Cointelegraph พัคแมนกล่าวว่าสัดส่วนของ *สเตเบิลคอยน์* ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 225,000 ล้านดอลลาร์ อาจเพิ่มขึ้นแตะระดับ ‘ใกล้เคียง 1 ล้านล้านดอลลาร์’ ภายในสิ้นปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อรวมกับตลาด *การเงินแบบกระจายศูนย์(DeFi)* ที่กำลังเติบโต และการเปิดตัว ETF ที่ได้ผลตอบแทนจากการสเตก จะยิ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นการใช้คริปโตในวงกว้าง
“แม้ว่าเม็ดเงินนี้จะยังเล็กเมื่อเทียบกับตลาดการเงินแบบดั้งเดิม แต่สำหรับวงการบล็อกเชนแล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่แท้จริง” พัคแมนกล่าว พร้อมเสริมว่า “เมื่อ ETF สามารถสร้างรายได้จากผลตอบแทน นั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและฟื้นชีวิตให้กับ DeFi อย่างเห็นได้ชัด”
ข้อมูลจากบริษัทวิจัย อินทูเดอะบล็อก(IntoTheBlock) ระบุว่า ปริมาณ *สเตเบิลคอยน์* ห้าอันดับแรกทั่วโลกตอนนี้แตะ 208,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ และสะท้อนถึง ‘การอยู่ในช่วงกลางของตลาดกระทิง’
“นี่เป็นปัจจัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 10 ปีของวงการคริปโต หากสินทรัพย์เพิ่มเติมย้ายเข้าสู่ระบบออนเชน กระบวนการยอมรับของตลาดก็จะเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน” พัคแมนกล่าว
ต่อเนื่องจากความเคลื่อนไหวในตลาดหลัก ทรัพย์สินของ อีลอน มัสก์ ได้ก่อให้เกิดกระแสถกเถียงขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาตัดสินใจโอนแพลตฟอร์มโซเชียล X ไปยังบริษัทปัญญาประดิษฐ์ของตนเองคือ xAI พร้อมๆ กับที่ศาลในสหรัฐฯ ปฏิเสธการร้องขอให้ยกเลิกคดีความเกี่ยวกับการฉ้อโกงหลักทรัพย์เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน Twitter (ชื่อเดิมของ X)
การประเมินมูลค่าล่าสุดระบุว่า มูลค่ากิจการของ X อยู่ที่ราว 33,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ xAI ถูกประเมินไว้ที่ 80,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึงหนี้สินกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ที่มัสก์ใช้ในการเข้าซื้อ X ก็ถูกรวมอยู่ด้วย
อดัม โคคราน หุ้นส่วนจาก Cinneamhain Ventures แสดงความคิดเห็นว่า การโอนสินทรัพย์ระหว่างแพลตฟอร์มในช่วงที่การดำเนินคดียังไม่สิ้นสุด “อาจนำไปสู่ความรับผิดทางกฎหมายเพิ่มเติมต่อ xAI ด้วยเช่นกัน”
มัสก์ได้เข้าซื้อ X เมื่อปี 2022 โดยใช้เงินกว่า 44,000 ล้านดอลลาร์
ด้านภาครัฐ *หน่วยงานกำกับดูแลการเงินของสหรัฐฯ* ได้เปิดทางให้แก่ธุรกิจคริปโตมากขึ้น โดยเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานประกันเงินฝากแห่งชาติสหรัฐฯ (FDIC) ได้ประกาศ ‘ผ่อนคลายนโยบาย’ โดยอนุญาตให้ธนาคารและสถาบันการเงินสามารถดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับคริปโตได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติล่วงหน้าอย่างเข้มงวดเช่นในยุคของรัฐบาลไบเดน
อย่างไรก็ตาม FDIC ก็ได้เตือนว่าผู้ดำเนินธุรกิจควรประเมิน *ความเสี่ยงในหลายด้าน* เช่น ความเสี่ยงทางตลาด ความมั่นคงทางการเงิน ระบบไซเบอร์ และการป้องกันการฟอกเงิน
ในวันเดียวกัน คณะกรรมการกำกับซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าแห่งสหรัฐฯ (CFTC) ยังได้แสดงท่าที ‘เปิดรับคริปโต’ มากยิ่งขึ้น โดยประกาศว่าจะจัดการ *อนุพันธ์ดิจิทัล* ให้เทียบเท่ากับอนุพันธ์ในตลาดการเงินดั้งเดิม ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญต่อการทำให้คริปโตเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหลัก
ทั้งหมดนี้ ถูกมองว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่อาจทำให้ปี 2025 กลายเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ใหม่ของคริปโต โดยเฉพาะเมื่อแนวทางของ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ยังคงแสดงจุดยืนเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
ความคิดเห็น 0