แบกต์(BKKT) ถูกร้องเรียนแบบกลุ่ม ปมปกปิดข้อมูลรายได้-หุ้นร่วง 36%

แพลตฟอร์มดูแลและซื้อขายคริปโตในสหรัฐฯ อย่างแบกต์(Bakkt: BKKT) ตกเป็นเป้าของการฟ้องร้องแบบกลุ่ม หลังถูกกล่าวหาว่าบริษัทและผู้บริหารทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ให้ข้อมูลที่ ‘ให้เข้าใจผิด’ แก่นักลงทุน รวมทั้งละเว้นรายละเอียดที่สำคัญบางประการ

ตามรายงานคดีที่ยื่นต่อศาลแขวงนิวยอร์กตอนใต้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ผู้ฟ้องร้องหลักคือ กาย เซอร์จู เอ. แฟรงคลิน ได้เรียกร้องให้มีการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน โดยมีผู้ถูกฟ้องประกอบด้วย อดีตซีอีโอ แกวิน ไมเคิล(Gavin Michael), ซีอีโอคนปัจจุบัน แอนดรูว์ เมน(Andrew Main) และรักษาการซีเอฟโอ คาเรน อเล็กซานเดอร์(Karen Alexander) โดยกล่าวหาว่าแบกต์ละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ และไม่ได้เปิดเผยข้อมูลสัญญาสำคัญกับลูกค้าอย่าง ‘เว็บบูล(Webull)’ และ ‘แบงก์ออฟอเมริกา(Bank of America หรือ BoA)’ ทันเวลา

ในคำฟ้องระบุว่าแบกต์พึ่งพารายได้จากบริการคริปโตของเว็บบูลในปี 2023 และ 2024 มากถึง 74% และมีรายได้จากโปรแกรมสะสมแต้มของ BoA ถึง 17% ระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน 2024 แต่ยังคงปกปิดความจริงเกี่ยวกับ ‘การพึ่งพารายได้จากลูกค้ารายใดรายหนึ่งสูงเกินไป’ จนตลาดไม่สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงได้ การที่มีการเปิดเผยในวันที่ 17 มีนาคมถึงแผนยุติสัญญาของลูกค้าทั้งสองหลังสิ้นปี 2025 ทำให้ราคาหุ้นแบกต์ร่วงลงกว่า 27% ภายในวันถัดมา

นักลงทุนชี้ว่าแบกต์พยายาม ‘อ้างเกินจริง’ ว่ามีรายได้ที่หลากหลายและมั่นคง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วบริษัท ‘พึ่งพาเว็บบูลเป็นหลัก’ ซึ่งบริษัทจงใจไม่เปิดเผย ข้อกล่าวหาเหล่านี้ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของแบกต์ลดลงอย่างมาก และผู้เข้าร่วมฟ้องกลุ่มต่างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง

เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป สำนักงานกฎหมายหลายแห่งได้เริ่มตรวจสอบว่าแบกต์ละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์หรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การยื่นฟ้องร้องเพิ่มเติมในอนาคต ขณะเดียวกัน Cointelegraph รายงานว่าได้ติดต่อแบกต์เพื่อขอคำชี้แจง ทว่า ณ เวลาที่เผยแพร่ข่าวไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของแบกต์เคยพุ่งขึ้นถึง 162% ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว หลังจากมีข่าวว่าบริษัทของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณาซื้อกิจการ อย่างไรก็ตาม จนถึงเดือนเมษายน 2025 ทั้งสองฝ่ายยังไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ทำให้ความเป็นไปได้ในการเข้าซื้อกิจการยังคง ‘ไม่แน่นอน’

ปัจจุบัน ราคาหุ้นแบกต์ลดลง 36% จากเดือนก่อนหน้า เหลือ 8.15 ดอลลาร์ต่อหุ้น (ประมาณ 11,900 วอน) ซึ่งยืนยันความกังวลของตลาดต่อ ‘ความโปร่งใสของฝ่ายบริหาร’ และ ‘โครงสร้างรายได้ที่แท้จริง’ ของบริษัท