คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งฮ่องกง(SFC) เปิดตัวแนวทางใหม่สำหรับการให้บริการ *staking* โดยผู้ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 ซึ่งถือเป็นการยอมรับบทบาทของ *staking* ในฐานะกลไกหนึ่งของการเพิ่มความปลอดภัยบนบล็อกเชน และช่องทางสร้างรายได้สำหรับนักลงทุน โดยคาดว่าจะส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การดูแลของ SFC อย่างเป็นรูปธรรม
ตามแนวทางใหม่ดังกล่าว ระบุว่าแพลตฟอร์มคริปโตจะต้องขออนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจาก SFC ก่อนเปิดให้บริการ *staking* และห้ามมอบหมายสิทธิในการดูแลสินทรัพย์ของลูกค้าให้แก่บุคคลที่สาม นอกจากนี้ ผู้ให้บริการจะต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการล็อกเหรียญ ขั้นตอนการยกเลิก *staking* วิธีการจัดการเมื่อระบบผิดพลาด และการเก็บรักษาทรัพย์สินอย่างปลอดภัย รวมถึงต้องรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม *staking* ต่อ SFC เป็นระยะ
คริสตินา ชอย(Christina Choi) ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์การลงทุนของ SFC ได้กล่าวในการประชุม Web3 Festival ว่า SFC สนับสนุนการพัฒนาระบบ Web3 ของฮ่องกงอย่างเต็มที่ พร้อมระบุว่า เป้าหมายสำคัญไม่ได้อยู่ที่การสร้างนวัตกรรมเพียงอย่างเดียวแต่รวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความเติบโตอย่างยั่งยืนเช่นกัน *คำสำคัญ: staking, ฮ่องกง, SFC*
นอกจากนี้ SFC ยังได้ออกแนวทางเพิ่มเติมสำหรับกองทุนที่ได้รับอนุมัติในฮ่องกงซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเกิน 10% โดยกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ *staking* โดยตรงหรือโดยอ้อมต้องดำเนินการอยู่ในขอบเขตวัตถุประสงค์ของการใช้เงินทุนเท่านั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่สำคัญ อาจต้องแจ้งนักลงทุนและขอความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น และไม่อนุญาตให้ใช้เลเวอเรจในลักษณะใดทั้งสิ้น
ในขณะที่ตลาด NFT กำลังเผชิญความซบเซา โดยมีแพลตฟอร์มหลักอย่าง Bybit และ X2Y2 ยุติการให้บริการไปเมื่อไม่นานมานี้ SFC เตือนให้อุตสาหกรรมหลีกเลี่ยงการไล่ตามกระแสเพียงอย่างเดียว ชอยกล่าวว่า “NFT เป็นกรณีตัวอย่างของสินทรัพย์ที่กลายเป็นเครื่องมือเก็งกำไรจากการโฆษณาเกินจริง” เธอเน้นย้ำว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนการพัฒนา Web3 อย่างยั่งยืนคือการสร้างระบบนิเวศที่มั่นคง ไม่ใช่ตามกระแสที่ฉาบฉวย”
ฮ่องกงยังคงรักษาสถานะศูนย์กลางการเงินในเอเชีย โดยคว้าอันดับ 3 จากดัชนีศูนย์การเงินโลก (GFCI) นักวิเคราะห์ชี้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวทางที่ชัดเจนของ SFC ในการวางกรอบกำกับดูแลคริปโต และความสามารถในการให้บริษัทเข้าถึงตลาดเอเชียได้อย่างมั่นใจ
เพื่อผลักดันให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางระดับโลกด้านสินทรัพย์ดิจิทัล SFC กำลังดำเนินโครงการ “ASPIRe” ซึ่งเป็นแผนงานที่เน้นเพิ่มการเข้าถึงตลาด ปรับปรุงกรอบกำกับดูแล ยกระดับศักยภาพบล็อกเชน รวมถึงอีกหลากหลายด้าน รวมทั้งหมด 5 เสาหลัก 12 โครงการย่อย โดยมีเป้าหมายสร้างระบบที่รวมระหว่างการเงินแบบดั้งเดิมกับการเงินดิจิทัลอย่างกลมกลืน
ชอยสรุปว่า “ขณะที่เทคโนโลยีได้ก้าวกระโดดจากศูนย์สู่หนึ่งแล้ว ขั้นต่อไปคือการขยายจากหนึ่งสู่ร้อย” พร้อมแสดง ความคิดเห็น ว่า ในอนาคตจะเกิดระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจขึ้น ณ จุดตัดระหว่างภาคการเงินดั้งเดิมกับโลกดิจิทัล
ความคิดเห็น 0